วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เรื่องของ สเลท (Slate)

สเลท(Slate) ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์มาแต่ไหนแต่ไร เมื่อเห็นปั๊บก็จะรู้ทันทีว่า อ่อ...สิ่งนี้เกี่ยวกับหนังแน่ๆ แต่แปลกไหมครับว่า การทำหนังสั้นหนังอิสระในบ้านเราใช้สเลทกันน้อยเหลือเกิน หลายคนอาจจะยังงงๆว่า สเลทมันมีประโยชน์ยังไงนะ? ใช้ยังไงนะ? ยุ่งยากจัง! ไม่เห็นมีประโยชน์เท่าไหร่เลย!! เอาล่ะ วันนี้เราลองมาคุยเรื่องสเลทกันดีกว่า

สำหรับภาพยนตร์ สเลทเป็นเหมือนฉลากเพื่อบอกรายละเอียดของภาพที่ถ่ายมา ตัวสเลทมีก้านเล็กๆมีไว้ตีทำให้เกิดเสียง และมีกระดานตีเป็นช่องๆให้กรอกรายละเอียด ใช้ถือไว้หน้ากล้องทุกฉาก ทุกช้อต ทุกเทค ที่มีการถ่ายทำ ต้องบอกก่อนว่าหน้าตาของสเลทนั้นมีหลากหลาย ขึ้นอยู่กับความชอบ ความถนัดของผู้ใช้ หรือข้อตกลงกันในกองถ่าย บางครั้งสเลทอาจจะเป็นแค่ช่องโล่งๆไม่มีตัวหนังสืออะไรเลยก็ได้ ไว้สำหรับให้กองถ่ายกำหนดเอาเองเลยว่าจะใช้ยังไง

เราจะเห็นประโยชน์ของสเลทกันอย่างชัดๆในขั้นตอนหลังการถ่ายทำ ดังนั้นสิ่งที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ ก็เลยอยากให้ลองจินตนาการภาพตามว่า เราถ่ายหนังกันเสร็จไปเมื่อหลายวันก่อน ส่งฟุตเตจทั้งภาพและเสียงให้เพื่อนเทลงคอมฯไว้แล้ว ตอนนี้เรากำลังมานั่งล้อมวงกัน เปิดคอมฯ เปิดจอมอนิเตอร์ ถือบทหนัง ถือProduction Report ถือSound Report อยู่ในมือ มานั่งดูฟุตเตจของหนังและลงมือตัดต่อไปพร้อมๆกัน
ภาพแรกที่ปรากฏคือภาพ Slate

PROD./PRODUCTION
มักจะอยู่ด้านบนสุดของสเลท ใช้กรอกให้ทราบว่านี่คือฟุตเตจของงานอะไร หนังเรื่องอะไร บางคนอาจจะคิดว่าเอ๊ะ...ทำไมต้องเขียน ก็นี่มันหนังของเราเอง เราจะไม่รู้ได้ไง? ใช่..ถ้าคุณทำหนังเองคนเดียวก็คงไม่เป็นไร แต่ในระบบอุตสาหกรรมที่มีการถ่ายหนังกันมากมายในแต่ละวัน ส่งฟิล์มล้างกันทุกวันๆ แต่ละเรื่องก็ส่งไม่พร้อมกันทั้งหมดทีเดียว สลับกันไป สลับกันมา หรือแม้แต่การทำหนังในระบบการศึกษาที่การเปิดกล้องมักจะมากระจุกกันตอนปลายๆเทอม ต้องจองคิวใช้ห้องตัดต่อกันแน่นแบบชั่วโมงสลับชั่วโมง เดี๋ยวรุ่นพี่ เดี๋ยวรุ่นน้อง การที่เราถ่ายสเลทและมีชื่อเรื่องแจ้งไว้อย่างชัดเจน จะเป็นการป้องกันการสับสนและผิดพลาด ลองคิดดูเล่นๆว่า ถ้าทุกชั้นปีถ่ายหนังรวมๆแล้วเทอมหนึ่งประมาณ 30 เรื่อง มีฟุตเตจเป็น100ม้วน ถ้าฟุตเตจทุกม้วนไม่มีใครใช้สเลทเลย!! จะมีโอกาสเกิดความผิดพลาดจะมีมากน้อยแค่ไหน


PROD.CO./PRODUCTION COMPANY
เป็นช่องสำหรับเขียนชื่อบริษัทผู้สร้างหนัง หรือบริษัทที่ผลิตงานชิ้นนั้นๆ เหมือนเป็นฉลากยี่ห้อเพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของก็ว่าได้ หรือถ้าหากมีปัญหาใดๆเกิดขึ้นจะได้รู้ว่างานดังกล่าวเป็นของบริษัทอะไร ใครเป็นผู้รับผิดชอบงาน และควรติดต่อที่ไหน สำหรับนักศึกษาบางทีก็เห็นเขียนชื่อกลุ่ม ชื่อแก๊ง หรือชั้นปี ยังไงก็ต้องทำให้คนอื่นทราบนะครับว่าแก๊งนี้น่ะคือใคร ติดต่อได้ยังไง จะได้ไม่มีปัญหาคั่งค้าง





SCENE

เป็นช่องสำหรับเขียนเลขฉากตามสคริปท์ แน่นอนว่าการถ่ายหนังเราไม่สามารถถ่ายเรียงลำดับไปทีละฉากๆได้เสมอไป สมมุติว่าหนังของเรามี 10 ฉาก เมื่อเราเริ่มเปิดฟุตเตจดู ถ้าไม่มีสเลท เราอาจจะจำไม่ได้ว่า เอ..นี่เราถ่ายฉากไหนมาก่อนนะ แต่ถ้าเรามีสเลทและมีเลขฉากระบุไว้ว่าฉาก 5 อ่อ..เราพอจะรู้ได้คร่าวๆอย่างรวดเร็วเลยว่า ฟุตเตจของฉากนี้น่าจะอยู่ตอนกลางๆของเรื่อง เราก็ไล่ดูฟุตเตจไปเรื่อยๆ และยกฟุตเตจทั้งก้อนของแต่ละฉากๆลงมาแปะไว้ในTimeLineเรียงลำดับอย่างคร่าวๆ เป็นฉาก1 ฉาก2 ฉาก3 ...จนถึงฉาก 10 อย่าเพิ่งตัดต่อเอาหัวสเลทออกไปนะครับ มันยังมีประโยชน์


CUT/SHOT

เป็นช่องสำหรับเขียนเลขช้อตหรือเลขคัทตามสคริปท์(ช้อตกับคัทมีความหมายเดียวกัน) ในแต่ละฉากก็จะมีช้อตซอยย่อยอยู่ในนั้น ซึ่งก็เป็นธรรมชาติของการถ่ายหนังอีกเช่นกันว่าเราไม่สามารถถ่ายเรียงลำดับไปทีละช้อตๆได้ เมื่อกี้เราแปะคลิปของแต่ละฉากๆไล่เรียงไว้ในTimeLineเรียบร้อยแล้วแล้ว เราลองมาดูทีละฉาก
ถ้าเราถ่ายสเลทมา เราจะมองเห็นง่ายขึ้นเลยว่าแต่ละช้อตภายในฉากหนึ่งๆจัดเรียงอยู่อย่างไร มันอาจจะยังสลับกันไปสลับกันมา เราก็เพียงแต่ดูเลขช้อตแล้วเรียงลำดับมันใหม่ซะ หนังก็จะเริ่มเรียงฉาก เรียงช้อต เห็นหน้าตาคร่าวๆของหนังกันแล้ว ตอนนี้ก็อย่าเพิ่งตัดเอาหัวสเลทออกนะ ยังต้องใช้มันอยู่

สังเกตไหมครับว่าSlateของภาพยนตร์มักไม่มีช่องของ Cut หรือ Shot เพราะในการถ่ายภาพยนตร์ขนาดยาวๆนั้น เราอาจจะไม่ได้แบ่งการถ่ายทำเป็น Cut หรือ Shot ชัดเจนแบบหนังสั้นหรือหนังโฆษณา แต่ผู้กำกับจะรู้ว่าวันนี้เรากำลังจะถ่ายอะไร ในSceneนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วใช้วิธีไหลไปตามอารมณ์ที่เหมาะสม อาจจะถ่ายหลายมุม หลายขนาดภาพ หลายtake หลายรูปแบบการแสดงไว้เลือกใช้ แล้วเดี๋ยวค่อยมาตัดต่อเป็น Cut ย่อยๆทีหลังในขั้นตอนPost วิธีนี้จะทำให้คนตัดต่อมีอิสระในการตัดต่อมากขึ้น โดยที่เขาจะพิจารณาการตัดสลับเอาเองใหม่ ด้วยวิจารณญาณตรงนั้น ซึ่งจะทำให้ได้ผลงานที่ออกมามีความกลมกลืนลื่นไหลมากกว่าที่จะไปกำหนดเป็น cut หรือ shot ตั้งแต่ตอนถ่ายทำ แต่บอกก่อนว่า วิธีนี้เป็นวิธีที่สิ้นเปลืองและเสียเวลามากกว่า


TAKE

เป็นช่องสำหรับเขียนเลขเทค จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนการถ่ายซ้ำ การถ่ายทำแต่ละช้อตบางครั้งก็จะมีหลายๆเทค ในการตัดต่อเราจะต้องใช้ Production Report (เอกสารรายงานการถ่ายทำ)มาประกอบ ว่าเทคไหนที่เราจะเลือกใช้ การทำงานจะง่ายถ้าเราได้ตัดสินใจตั้งแต่วันออกกองแล้วว่าเราเลือกใช้เทคไหน เมื่อดูตามProduction Report เราก็จะเริ่มตัดต่อเก็บไว้เฉพาะเทคที่เราเลือกใช้ เทคที่เสียก็ตัดทิ้งออกไป คราวนี้หนังก็จะเรียงฉาก เรียงช้อตที่เลือกเทคแล้ว และเห็นเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนมากขึ้นแล้ว และเหมือนเดิม...อย่าเพิ่งตัดเอาหัวสเลทออกนะครับ

ROLL

เป็นช่องสำหรับเขียนเลขม้วน สมมุติว่าเรานั่งตัดต่อหนังขั้นละเอียดไปซักพักแล้วดันเห็นว่า ช้อตที่เราเลือกดันมีเฟรมดร็อปหรือมีความผิดพลาดของการเทสัญญาณภาพจากเทปลงเครื่องตัดต่อ เราต้องเทภาพฟุตเตจลงไปใหม่ เราก็แค่ไปเช็คดูในไฟล์ฟุตเตจว่าภาพที่เราต้องการนี้มันอยู่ในม้วนเทปที่เท่าไหร่ แล้วเอามาเทลงใหม่ แค่นี้เอง ลองคิดดูนะว่าถ้าเราไม่ได้ถ่ายสเลทมา อาจจะต้องปวดหัวกับการนึกเองว่า เอ...เทคนี้ ช้อตนี้ ฉากนี้ มันอยู่ในเทปม้วนไหนนะ


INT./EXT.

ย่อมาจาก Interior/Exterior หมายถึง ฉากภายใน/ฉากภายนอก ภายในหรือภายนอกนี้ไม่ได้อิงจากสถานที่ถ่ายทำ(Location)นะครับ แต่อิงจากภายในหรือภายนอกตามบท เพราะบางครั้งเราถ่ายภายในสตูดิโอก็จริง แต่เราเซ็ทฉากเป็นริมถนน เป็นป่า เป็นสุสานก็ได้นี่ครับ วิธีใช้งานก็คือวงให้เห็นชัดเจนว่ามันคือฉากภายในหรือภายนอก ไม่ควรใช้วิธีขีดเส้นใต้หรือขีดฆ่าตัวที่เราไม่ต้องการ เพราะจะทำให้สับสนได้ง่าย แต่ถ้าสเลทบางตัวไม่ได้พิมพ์อักษรไว้ให้เราวง ก็กรอกคำว่า INT. หรือ EXT. ได้เลยครับ


D./N.

ย่อมาจาก Day/Night หมายถึง กลางวัน/กลางคืน เช่นกัน เราไม่ได้อิงจากเวลาถ่ายทำจริง แต่อิงจากเวลาตามบท เพราะบ่อยๆครั้งที่เราจัดแสงหลอกเวลาได้ หรือถ่ายกลางวันไปแก้สีเป็นกลางคืน(Day for Night) การระบุเวลาในสเลทจึงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการทำงานในขั้นตอนPost วิธีใช้งานก็คือวงให้เห็นชัดเจน แต่ถ้าสเลทไม่ได้พิมพ์อักษรไว้ ก็กรอกอักษร D หรือ N ลงไปได้เลย


SOUND

เป็นช่องสำหรับเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับเสียง ว่าการถ่ายทำในฉาก ช้อต และเทคนั้นๆ บันทึกเสียงหรือไม่ อย่างไร ถ้ามีการบันทึกเสียงก็นิยมเขียนว่า Sync ถ้าไม่มีการบันทึกเสียงนิยมเขียนว่า MOS แต่ถ้าสเลทบางมีตัวอักษร ก็ใช้วิธีวงล้อมรอบ
การเขียนสเลทในช่องนี้สำคัญมากในกรณีที่บันทึกเสียงแยกกับการบันทึกภาพ แต่ถ้าเป็นการบันทึกเสียงลงไปพร้อมกับภาพในม้วนเทปเดียวกันแล้วก็ไม่มีปัญหา ทีนี้สมมุติว่าฟุตเตจที่เรากำลังตัดต่อกันอยู่เป็นการถ่ายทำแบบบันทึกเสียงแยกกับการบันทึกภาพ แน่นอน...เราจะได้เห็นในช่องsoundเขียนว่า Sync และเห็นภาพก้านสเลทตีลงมากระทบกับตัวแผ่นสเลทตอนเริ่มถ่ายทำ แต่แน่นอนตอนนี้มันยังเงียบสนิท
คราวนี้เราต้องไปดูที่ฟุตเตจเสียงกันบ้างแล้ว สมมุติว่าเราเริ่มตัดต่อที่ฉาก1 ช้อต1 เทค4 ช่องsoundเขียนว่าSync มีการตีสเลท เราต้องไปดูที่เอกสาร Sound Report ว่าเสียงของฉาก1 ช้อต1 เทค4 มันอยู่ตรงไหน แล้วเราก็เลือกมันลงมา
คลิปภาพและเสียงจะถูกนำมาวางให้ตรงกัน โดยอาศัยดูจากเฟรมภาพที่ก้านสเลทกระทบกับแผ่นกระดานวางให้ตรงกับเวฟของเสียงแป๊ก!!พอดี หนังของเราก็จะเรียงฉาก เรียงช้อต เลือกเทค และมีเสียงขึ้นมาแล้ว.... ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่เราต้องการ คราวนี้เราถึงจะตัดหัวเสลทออกไปได้
เราเรียกการตัดต่อในระดับนี้ว่าการตัดหยาบ (Rough Cut)


CHAPTER
ที่จริงน้อยครั้งมากที่จะเห็นช่องนี้บนสเลท พอไปเจอก็เลยรีบเอารูปนี้มาฝาก ไม่แน่ใจนะครับว่าหมายถึงอะไร แต่คิดว่าน่าจะใช้กรอกเลขหรือชื่อChapterตามบทเหมือนกัน แต่คำว่าChapterก็ไม่ค่อยพบในบทนะครับ ก็ขอสรุปเอาเองว่าคงจะหมายถึง SEQUENCE กระมังครับ อันนี้ก็ยกตัวอย่างว่าเป็น chapter หรือ sequence # D


DIRECTOR

เป็นช่องสำหรับเขียนชื่อผู้กำกับ สำหรับช่องนี้คงไม่ต้องบอกอะไรมาก ใครๆก็รีบเขียนช่องนี้กันอยู่แล้ว มันก็เหมือนเป็นการบอกยี่ห้อและเจ้าของหนัง แต่บางครั้งหนังเรื่องหนึ่งก็ถ่ายโดยใช้ผู้กำกับหลายคน เราจะได้รู้ว่าผู้กำกับคนไหนกำกับในฉากอะไร ช้อตอะไร และกรณีที่ผู้กำกับไม่ได้ตัดต่อเอง เมื่อคนตัดต่อมีปัญหาหรือข้อสงสัยเกิดขึ้น จะได้ติดต่อหรือแจ้งกับผู้กำกับคนนั้นๆได้ทันที


CAMERAMAN / D.P.

เป็นช่องสำหรับเขียนชื่อผู้กำกับภาพหรือตากล้อง ประโยชน์ของช่องนี้ดูจะสำคัญมากกว่าชื่อผู้กำกับซะอีก เพราะงานของผู้กำกับภาพมักจะซับซ้อนและละเอียดอ่อน เช่น ชดเชยแสงมามากน้อยแค่ไหน, ถ่ายเป็นDay for Nightรึเปล่า, แสงที่จัดออกมาต้องการให้แก้สีหรือไม่, อยากให้ดูเป็นภายในหรือภายนอก ฯ ซึ่งถ้าหนังเรื่องหนึ่งมีตากล้องหลายคน วิธีการทำงานก็จะหลากหลายออกไป เมื่อคนตัดต่อมีปัญหาหรือข้อสงสัย จะได้ติดต่อกับตากล้องได้ทันทีเหมือนกัน


DATE

เป็นช่องสำหรับเขียนวันที่ที่ถ่ายทำ ตัวเลขพวกนี้จะเชื่อมโยงถึงกันหมด ถ่ายวันไหน ถ่ายเรื่องอะไร ฉากอะไร ช้อตอะไร ม้วนเทปที่เท่าไหร่ ซึ่งจะตรงกับในProduction Report และ Sound Report ด้วย ถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้น เราจะสามารถเช็คได้ง่ายๆว่าอะไรอยู่ตรงไหน

ที่มา http://www.magic-dv.net63.net/articles.php?article_id=7



slate มีหน้าที่ที่สำคัญมากในส่วนของการลำดับภาพและตัดต่อเค๊อะ เพื่อที่จะรู้ว่าฟิลม์นี้ เป็นฟิลม์ที่เราต้องการใช้รึเปล่า สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับ slate เลยก็คือ

SCENE - ฉากที่
CUT - คัตหรือช็อต ซึ่งซอยย่อยลงมาจากฉาก
TAKE - ครั้งที่เล่นในแต่ละ scene, cut เช่น เทคเดียว ก็เล่นครั้งเดียว แต่ถ้า 10 เทค ก็แสดงว่าเล่นซีนเดิมคัตเดิมมา 10 ครั้ง ตัว take ใน slate จะเป็นตัวบอกว่านี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่

มีแค่ 3 ตัวนี้ละคะ ที่สำัคัญที่สุดสำหรับ slate เลย เรียกว่า ถ้าขาดแล้วก็ขาดใจ

ส่วนการตี slate นั้น(เท่มากคะ จอร์จ >
ซิงค์เสียงแหละคะ{ซิงค์ = Synchronize})

ดังนั้น ถ้าเราทำหนัง ที่ถ่ายด้วยกล้อง DV หรือ HDV หรืออะไรก็ตามแต่ที่เป็นสัญญาณดิจิตอล ก็ไม่ต้องตี slate ค่ะ
ไม่งั้นจากเท่มากๆ มันจะกลายเป็นเสร่อสุดๆ ค่ะ - -" เพราะกล้องพวกนี้จะอัดเสียงไปพร้อมกับภาพอยู่แล้วจึงไม่ต้องมานั่ง sync
เสียงให้เมื่อย ยกเว้นแต่ว่า เราอุตส่าห์อัดเสียงแยก หรือไม่ก็กันเหนียวในกรณีถ่ายกล้อง 2 ตัวขึ้นไป

ส่วนการถ่ายด้วยฟิลม์ .. ต้องตีแน่นอนคะ เพราะกล้องฟิลม์จะอัดแค่ภาพ ส่วนเสียง เราต้องอัดด้วยเครื่องบันทึกเสียงแยกคะ - -"
แต่ก็ไม่แน่ใจแล้วนะคะ ว่าถึงสมัยนี้จะมีระบบ sync เสียงกับภาพให้เดินพร้อมกันเวลาถ่ายแล้ว ยังจำเป็นต้องตีกันเหนียวอยู่รึเปล่า


ส่วนต่อไปนี้ก็เอาไว้อ้างอิงเพิ่มเติม ขาดไปไม่ตาย แค่พิการ เพราะส่วนมากเรื่องพวกนี้คนลำดับภาพจะดูจากบันทึกใน
เอกสารมากกว่า แต่ควรจะใส่ไว้กันมึนคะ
Roll - ม้วนฟิลม์ ม้วนที่เท่าไหร่
time code - เวลาในกล้อง
date - วันที่ถ่ายทำ
int/ext - ถ่ายภายใน(interior)หรือภายนอก(exterior)อาคาร

แล้วก็ ในส่วนที่ slate ขาดได้ แต่คนทำหนังขาดไม่ได้ ฮาๆ เฮ้ย ขาดส่วนนี้ได้ไง เด๋วเค้าไม่รู้ว่าหนังใคร เกิดสลับฟิลม์เวลาส่งล้าง
จะได้รู้เรื่อง
PROD. (production) - ชื่อหนัง
Director - ผู้กำกับ
Camera man - ช่างภาพ(ไว้เอาผิดเวลาถ่ายไม่ดี 55+)

ในภาพที่เห็น จะมีแต่ scene ไม่มี cut ก็สามารถยัด cut ควบไปกับ sceneได้ โดย / เช่น ซีน 1 คัต 10 ก็ใส่ในช่อง ซีนว่า 1/10

MOS DAY NITE นี้ไม่รู้แหะ .. ว่าคืออะไร
Sync ไว้บอกว่าซิงค์เสียงรึเปล่า
MOS หรือ mute of sound ( เดาเอา )
มอส หรือ ไม่เอาเสียง (ฮา) มีคนเคยบอกไว้ ( เอาไว้บอกว่าคัทนี้ที่เราถ่ายไม่ได้บันทึกเสียงมาด้วย ) ครับ

ส่วน เดย์ หรือไนท์ ก็เป็นกลางวันหรือกลางคืน น่าจะเป็นตามบทภาพยนตร์มากกว่าเวลาจริงนะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น