การวิจัยเบื้องต้น - Presentation Transcript
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการวิจัย อรุณศรี เตชะเรืองรอง กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์
การวิจัยเบื้องต้น
ความหมายของการวิจัย
เหตุผลในการทำวิจัย
ลักษณะที่สำคัญของการวิจัย
ประเภทของการวิจัย
ขั้นตอนในการวิจัย
เครื่องมือและเทคนิค การรวบรวมข้อมูล
ข้อจำกัดของการวิจัยทางสังคมศาสตร์
นักวิจัยและจรรยาบรรณการวิจัย
ความหมายของการวิจัย
บุญเรียง ขจรศิลป์ (2533 : 5) ได้ให้ความหมายของคำว่า การวิจัยทางด้านวิชาการ หมายถึง กระบวนการเสาะแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ หรือกระบวนการเสาะแสวงหาความรู้เพื่อตอบปัญหาที่มีอยู่อย่างมีระบบ และมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอน โดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ การวิจัย ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า “ Research” ถ้าจะแปลตามตัวหมายถึง การค้นหาซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งความหมายของคำว่าวิจัย ทางด้านวิชาการได้มีผู้ให้ความหมายไว้ต่าง ๆ กัน เช่น เบสท์ ( Best, 1981 อ้างถึงใน บุญเรียง ขจรศิลป์ , 2533 : 5) ได้ให้ความหมายของการวิจัยไว้ว่าเป็นวิธีการที่เป็นระบบระเบียบ และมีจุดมุ่งหมายในการวิเคราะห์ และคิดบันทึกการสังเกตที่มีการควบคุมเพื่อนำไปสู่ข้อสรุปอ้างอิง หลักการหรือทฤษฎีซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการทำงานและการควบคุมเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้
รัตนะ บัวสนธ์ ( 2543, 3) ได้ให้ความหมายของการวิจัยไว้ว่า เป็นการหาความจริงเชิง สาธารณะด้วยวิธีการที่เรียกว่ากระบวนการวิจัยซึ่งมีลักษณะเป็นระบบมีขั้นตอน ผ่องพรรณ ตรัยมงคลกูล ( 2543 : 21) สรุปความหมายของการวิจัยไว้ว่า การวิจัยคือการศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบระเบียบเพื่อทำความเข้าใจปัญหาและแสวงหาคำตอบ เป็นกระบวนการที่อาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นหลัก
ณัฏฐพันธ์ เขจรนันทน์ “การวิจัยเป็นวิธีการค้นคว้า และแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ ในการตอบปัญหาต่าง ๆ โดยอาศัยวิธีการที่เชื่อถือได้” ดังนั้น การวิจัยจึงหมายถึง กระบวนการเสาะแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ ที่เป็น ความจริงเชิงตรรกะ ( Logical) หรือความจริง เชิงประจักษ์ ( Empirical) เพื่อตอบปัญหาอย่างมีระบบ และมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอน โดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เป็นหลัก
กระบวนการศึกษาค้นคว้าหาคำตอบในการแก้ไขปัญหาโดยวิธีการที่เป็นระบบเชื่อถือได้ตามหลักวิชาการ เน้นการค้นคว้า วิเคราะห์ และสรุปผลข้อมูลเพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้องแม่นยำ เกิดองค์ความรู้ใหม่ หรือข้อค้นพบใหม่
เหตุผลหลักในการวิจัย 1. การวิจัยที่มุ่งแสวงหาความรู้ ( Pure Research) เป็นการวิจัยที่มุ่งแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปรากฎการณ์ที่ศึกษา เพื่อใช้ทดสอบ หรือสร้างทฤษฎีอธิบายปรากฎการณ์จริง 2. การวิจัยประยุกต์ (Applied Research) เป็นการวิจัยที่มุ่งแสวงหาข้อเท็จจริงระหว่างข้อมูลหรือตัวแปร เพื่อนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริง
จุดมุ่งหมายของการวิจัย
เพื่อการทำนาย ( Prediction)
เพื่อการอธิบาย ( Explanation)
เพื่อการบรรยาย ( Describe)
เพื่อการควบคุม ( Control)
เพื่อการพัฒนา ( Development )
ลักษณะสำคัญของการวิจัย 1. มุ่งหาคำตอบเพื่อนำมาใช้แก้ไขปัญหา 2. เน้นการพัฒนาข้อสรุป หรือทฤษฎีต่าง ๆ เพื่อใช้ทำนายเหตุการณ์ในอนาคต 3. อาศัยข้อมูลหรือเหตุการณ์ที่สังเกตได้รวบรวมได้ 4. ต้องการเครื่องมือและรวบรวมข้อมูลที่แม่นยำเที่ยงตรง 5. เกี่ยวข้องกับการรวบรวมข้อมูลใหม่ๆ เพื่อหาคำตอบของวัตถุประสงค์ใหม่
ลักษณะสำคัญของการวิจัย ( ต่อ ) 6. ใช้กิจกรรมในการวิจัยที่กำหนดไว้อย่างมีระบบ 7. ต้องการผู้รู้จริงในเนื้อหาที่จะทำการวิจัย 8. สามารถตรวจสอบความเที่ยงของวิธีการใช้ ข้อมูลที่รวบรวมมาและข้อสรุปที่ได้ 9. สามารถทำซ้ำได้ โดยวิธีเดียวกัน หรือวิธีที่ คล้ายกัน
ลักษณะสำคัญของการวิจัย ( ต่อ ) 10. มีความอดทน เนื่องจากมีความยากลำบากใน การแสวงหาคำตอบ 11. ควรเขียนรายงานด้วยความละเอียด รอบคอบ และมีการบัญญัติความหมายของศัพท์เทคนิค ที่ใช้ 12. มีความซื่อสัตย์ และกล้าหาญในการรายงาน ผลการวิจัย
ข้อจำกัดของการวิจัย 1. ความซับซ้อนของเนื้อหาหรือปัญหาที่จะศึกษา 2. ความยากในการรวบรวมข้อมูล 3. ความยากในการทำซ้ำ 4. ปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักวิจัยและสมาชิกในกลุ่ม ตัวอย่าง หรือกลุ่มประชากรมีผลกระทบต่อ ผลการวิจัย 5. ความยากในการควบคุมตัวแปรเกิน
1. ช่วยส่งเสริมความรู้ทางด้านวิชาการและศาสตร์สาขาต่าง ๆ ให้มีการค้นคว้าข้อเท็จจริงมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะว่าการวิจัยจะทำให้มีการค้นคว้าหาความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มเติมซึ่งทำให้วิทยาการ ต่าง ๆ เจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น ทั้งตัวผู้วิจัยและผู้นำเอาเอกสารการวิจัยไปศึกษา 2. นำความรู้ที่ได้จากการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติ หรือแก้ปัญหาโดยตรง ช่วยทำให้ผู้ปฏิบัติได้เลือกวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุด ก่อให้เกิดการประหยัด 3. ช่วยในการกำหนดนโยบาย หรือหลักปฏิบัติงานต่าง ๆ เป็นไปด้วยความถูกต้อง เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ 4. ช่วยให้ค้นพบทฤษฎีและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ เพื่อให้มนุษย์ได้ดำเนินชีวิตอยู่ในโลกอย่างมีความสุขสบาย 5. ช่วยพยากรณ์ผลภายหน้าของสถานการณ์ ปรากฏการณ์และพฤติกรรมต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง ประโยชน์ของการวิจัย
ประเภทการวิจัย
แบ่งตามลักษณะข้อมูล
การวิจัยเชิงปริมาณ ( Quantitative Research)
มีลักษณะเป็นตัวเลขแสดงปริมาณและใช้วิธีการทางสถิติวิเคราะห์
การวิจัยเชิงคุณภาพ ( Qualitative Research)
มีลักษณะเป็นข้อความแสดงคุณลักษณะเช่นความคิดเห็น เรื่องราวของปรากฏการณ์ วิธีการวิเคราะห์ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา และสรุปประเด็นสำคัญ
แบ่งตามเป้าหมายของการวิจัย
1. การวิจัยพื้นฐาน ( Basic Research)
เป้าหมายเพื่อพิสูจน์ ตรวจสอบ สร้างทฤษฎีใหม่หรือขยายกรอบแนวความคิดทฤษฎีเดิม
2. การวิจัยประยุกต์ ( Applied Research)
ศึกษาประเด็นปัญหาที่มีอยู่ หาแนวทางแก้ปัญหาโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีต่างๆ ที่มีอยู่แล้ว เน้นการนำไปประยุกต์ใช้กับงานจริงได้
ประเภทการวิจัย
แบ่งตามการทดลอง
การวิจัยเชิงทดลอง ( Experimental Research)
ยึดกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ศึกษาวิจัยตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ก่อน โดยการควบคุมตัวแปรหรือสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ตามสภาพจริง
การวิจัยกึ่งทดลอง ( Semi-experimental Research)
ยึดกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ศึกษาวิจัยตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ก่อน โดยการควบคุมตัวแปรหรือสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เพียงบางส่วน
ประเภทการวิจัย
แบ่งตามความมุ่งหมายและวิธีวิจัย
การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ ( Historical Research)
ศึกษา ทำความเข้าใจ อธิบายเหตุการณ์ในอดีต เพื่อหาข้อยุติเกี่ยวกับสาเหตุ หรือเพื่อพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคต
การวิจัยตามสภาพข้อมูล ได้แก่
2.1 การวิจัยเชิงสำรวจ ( Survey Research)
2.2 การวิเคราะห์เอกสาร ( Documentation Analysis )
2.3 การศึกษารายกรณี ( Case Studying )
ประเภทการวิจัย
ประเภทการวิจัยแบ่งตามความมุ่งหมายและวิธีวิจัย
3. การวิจัยเพื่อศึกษาความสัมพันธ์
3.1 การวิจัยเชิงสหสัมพันธ์ ( Correlation Research)
ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป
3.2 การวิจัยเชิงเปรียบเทียบ ( Comparison Research)
ศึกษาความแตกต่างระหว่างกลุ่ม
ประเภทการวิจัย แบ่งตามวัตถุประสงค์ในการวิจัย
การวิจัยเชิงอธิบาย (Explanatory Research )
เน้นการค้นหาสาเหตุ และหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ เพื่อหาคำตอบว่าเพราะเหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์เหล่านั้น
2 . การวิจัยเชิงบุกเบิก (Exploratory Research ) เน้นศึกษา เชิงลึกเกี่ยวกับวิทยาการใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีการศึกษามาก่อน
แบ่งตามบทบาทของผู้วิจัย
การวิจัยแบบมีส่วนร่วม ( Participatory Research)
ผู้วิจัยเข้าไปมีส่วนร่วมกับการวิจัยอย่างสมบูรณ์
การวิจัยแบบไม่มีส่วนร่วม ( Non-participatory Research)
ผู้วิจัยศึกษาและรวบรวมข้อมูลในฐานะผู้วิจัย ที่อยู่ภายนอกกลุ่ม
ประเภทการวิจัย
แบ่งตามลักษณะวิชา
การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ( Scientific Research)
ศึกษาปรากฏการณ์ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต
การวิจัยทางสังคมศาสตร์ ( Social Research)
ศึกษาสภาพแวดล้อม สังคม ประเพณี วัฒนธรรมและพฤติกรรมของมนุษย์
ประเภทการวิจัย
ขั้นตอนในการวิจัย 1. การเลือกหัวข้อปัญหา 2. การกำหนดขอบเขตของปัญหา 3. การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4. การกำหนดสมมติฐาน 5. การเขียนเค้าโครงการวิจัย 6. การสร้างเครื่องมือรวบรวมข้อมูล 7. การเก็บรวบรวมข้อมูล
ขั้นตอนในการวิจัย ( ต่อ ) 8. การจัดกระทำข้อมูล 8.1 การใส่ข้อมูล 8.2 การประมวลผล 8.3 ผลลัพธ์ 9. การสรุปผลการวิจัยและเขียนรายงาน 9.1 บทนำ 9.2 การตรวจสอบเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 9.3 วิธีการดำเนินการวิจัย 9.4 ผลการวิจัย 9.5 สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
เครื่องมือและเทคนิคในการรวบรวมข้อมูล โดยทั่วไปแล้วจะแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1. เครื่องมือที่เป็นอุปกรณ์ (Materials) 2. เครื่องมือที่ใช้เป็นตัววัด (Measures)
จรรยาบรรณของนักวิจัย
ต้องซื่อสัตย์และมีคุณธรรมในทางวิชาการและ
การจัดการ
2. ต้องตระหนักถึงพันธกรณีในการทำงานวิจัย ตาม ข้อตกลงที่ทำไว้กับหน่วยงานที่สนับสนุนการวิจัย และต่อหน่วยงานที่สังกัด
3. ต้องมีพื้นฐานความรู้ในสาขาวิชาการที่ทำวิจัย
4. ต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ศึกษาวิจัย ทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต
จรรยาบรรณของนักวิจัย ( ต่อ ) 5. ต้องเคารพศักดิ์ศรี และสิทธิของมนุษย์ที่ใช้เป็นตัวอย่าง ในการวิจัย 6. ต้องมีอิสระทางความคิดโดยปราศจากอคติในทุกขั้นตอน ของการทำวิจัย 7. เผยแพร่ผลงานวิจัยใช้ประโยชน์ในทางที่ชอบ 8. เคารพความคิดเห็นทางวิชาการของผู้อื่น 9. มีความรับผิดชอบต่อสังคมทุกระดับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น