วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บทที่ 1

การพัฒนาสื่อประสม วิชาภาษาไทย เรื่องมาตราตัวสะกด
ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหลักเมืองมหาสารคาม ระดับประถม
บทที่ ๑
บทนำ
ความสำคัญและความเป็นมา
ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน นอกจากนี้ภาษาไทยยังเป็นสื่อที่แสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี ชีวทัศน์ โลกทัศน์ และสุนทรียภาพ โดยบันทึกไว้เป็นวรรณคดีและวรรณกรรมอันล้ำค่า ภาษาไทยจึงเป็นสมบัติของชาติที่ควรค่าแก่การเรียนรู้ เพื่ออนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2545)
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ได้ตระหนักถึงความสำคัญของภาษาไทยดังกล่าว จึงได้กำหนดคุณภาพของผู้เรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เมื่อเรียนจบหลักสูตรว่าต้องเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ สร้างภาษาสื่อสารได้ อ่าน เขียน ฟัง ดู และพูด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2545) โดยทักษะที่ผู้เรียนควรได้รับการส่งเสริมและฝึกฝนเป็นอันดับแรกคือ การอ่าน โดยถือว่าการอ่านเป็นศูนย์กลางหรือหัวใจที่จะช่วยพัฒนาทักษะทางภาษา ส่งเสริมผู้เรียนให้รู้จักใช้กระบวนการคิดอันเป็นทางนำไปสู่การพัฒนาการฟัง การพูด และการเขียนและใช้ภาษาได้ดี
การอ่าน เป็นทักษะทางภาษาที่มนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการศึกษาหาความรู้และความบันเทิงใจให้กับตนเอง การอ่านจึงเป็นประโยชน์ให้แก่มนุษย์โดยตรงในชีวิตประจำวันโดยเฉพาะนักเรียน นักเรียนจำเป็นต้องใช้การอ่านเป็นประจำ เพื่อศึกษาหาความรู้จากหนังสือและจากตำราเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นผู้ที่มีความสามารถในการอ่านออกเขียนได้จึงได้เปรียบ และสามารถติดต่อสื่อสารทั้งเรื่องส่วนตัวและส่วนรวมได้ผลดีกว่าผู้อื่นที่อ่านหนังสือไม่ออกและเขียนไม่ได้ (กองเทพ เคลื่อนพณิชกุล, 1542)
แต่ปัจจุบันสภาพการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาระการอ่าน ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ซึ่งจากการสำรวจนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 2 ของสำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน 637,004 คน พบว่า มีนักเรียนที่มีปัญหาอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ถึง 79,358 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 12.45 ทั้งนี้มีนักวิชาการและนักวิจัยหลายท่านที่ได้วิจัยและรายงานปัญหาดังกล่าวนี้ ดังเช่นประทีป แสงเปี่ยมสุข (2546) ได้รายงานผลการวิจัยสภาพการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยในโรงเรียนประถมศึกษาของกองวิจัยทางการศึกษา กรมวิชาการ พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางเรียนภาษาไทยของนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ สมรรถภาพที่มีปัญหา ได้แก่ ทักษะการอ่านและเขียน จากการทดสอบวัดความสามารถในการอ่านนักเรียนชั้นประถมศึกษา ของกรมวิชาการพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนยังไม่เป็นที่น่าพอใจ และจะเห็นได้ว่าเด็กที่ล้มเหลวทางการเรียนนั้นมักเนื่องมาจาก ปัญหาการอ่านหนังสือไม่ได้เป็นสำคัญ อีกทั้งการประเมินเชิงวินิจฉัยข้อบกพร่องทางด้านภาษาของนักเรียนชั้น ป.2 ในปีการศึกษา 2541 ได้ศึกษากับประชากร จำนวน 788,800 คน พบข้อบกพร่องของนักเรียนดังนี้ การอ่านออกเสียง บกพร่องเรื่อง การอ่านถูกต้อง การเว้นวรรคตอนในการอ่าน การอ่านจับใจความ บกพร่องในเรื่องความหมายของคำ/กลุ่มคำ การลำดับเรื่อง/เหตุการณ์ และการสรุปสาระสำคัญ
สภาพการใช้ภาษาไทยเช่นนี้ หากไม่ได้รับการแก้ไขแล้ว จะเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมทางภาษาของไทยในที่สุด ดังที่มานิตย์ ไชยกิจ (2542) ได้กล่าวว่าการระงับยับยั้งสภาวะการอ่านหนังสือไม่ออกของนักเรียนในระบบโรงเรียนสามารถทำได้โดยการสอนซ่อมเสริมวิชาภาษาไทยแก่นักเรียนที่อ่านหนังสือไม่ออก โดยการนำสื่อและเทคนิควิธีการสอนที่มีความเหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาการเรียนรู้วิชาภาษาไทยได้ดีนั้น จะต้องเป็นสื่อที่สนองความแตกต่างระหว่างบุคคลและกระตุ้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนให้มากที่สุดและมีกระบวนการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อที่เป็นบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียซึ่งเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาที่นำเสนอเนื้อหาสาระการเรียนรู้ได้หลายรูปแบบ ผู้เรียนสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อได้อย่างสนุกสนาน นอกจากนี้การมีรูปแบบวิธีการเรียนการสอนที่ดีย่อมสามารถช่วยให้นักเรียนที่มีระดับผลการเรียนแตกต่างกันให้ได้รับความสำเร็จในการเรียนรู้ตามเกณฑ์ที่กำหนดได้อย่างมีประสิทธิภาพ (พิไลรัตน์ ชูวิจิตร, 2544)
จากเหตุผลดังกล่าวทำให้ผู้วิจัยได้ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของสื่อประสมที่จะมีส่วนช่วยในการพัฒนาคุณภาพทางการเรียนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงมีความสนใจในการนำสื่อประสมเข้ามาช่วยเสริมในเรื่องของการเรียนการสอน และเล็งเห็นว่าจะเป็นเครื่องมือนำไปสู่ความสำเร็จ และเป็นตัวกระตุ้นประสิทธิภาพและประสิทธิผลเรื่องการอ่านของนักเรียนได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งผู้วิจัยมีความคาดหวังว่าสื่อประสมที่พัฒนานี้จะเป็นสิ่งดึงดูดใจนักเรียนในระดับชั้นนี้ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเพื่อศึกษาผลของการใช้สื่อประสมที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนที่เรียนจากสื่อประสมที่พัฒนาขึ้นมา ว่ามีประสิทธิภาพตามที่กำหนดไว้หรือไม่ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอนในวิชานี้ต่อไป

วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Windows 7 Beta Ultimate 64-Bit (X64) Product Keys

Windows 7 Beta Ultimate 64-Bit (X64) Product Keys
JYDV8-H8VXG-74RPT-6BJPB-X42V4
D9RHV-JG8XC-C77H2-3YF6D-RYRJ9
7XRCQ-RPY28-YY9P8-R6HD8-84GH3
JYDV8-H8VXG-74RPT-6BJPB-X42V4
482XP-6J9WR-4JXT3-VBPP6-FQF4M

? MVBCQ-B3VPW-CT369-VM9TB-YFGBP
? C43GM-DWWV8-V6MGY-G834Y-Y8QH3
? GPRG6-H3WBB-WJK6G-XX2C7-QGWQ9
? MM7DF-G8XWM-J2VRG-4M3C4-GR27X
? KGMPT-GQ6XF-DM3VM-HW6PR-DX9G8
? MT39G-9HYXX-J3V3Q-RPXJB-RQ6D7
? MVYTY-QP8R7-6G6WG-87MGT-CRH2P
? RGQ3V-MCMTC-6HP8R-98CDK-VP3FM
? Q3VMJ-TMJ3M-99RF9-CVPJ3-Q7VF3
? 6JQ32-Y9CGY-3Y986-HDQKT-BPFPG
? KBHBX-GP9P3-KH4H4-HKJP4-9VYKQ
? BCGX7-P3XWP-PPPCV-Q2H7C-FCGFR
? P72QK-2Y3B8-YDHDV-29DQB-QKWWM
? 6F4BB-YCB3T-WK763-3P6YJ-BVH24
? 9JBBV-7Q7P7-CTDB7-KYBKG-X8HHC

J7PYM-6X6FJ-QRKYT-TW4KF-BY7H9
D67PP-QBKVV-6FWDJ-4K2XB-D4684
HQDKC-F3P6D-C9YYM-HRB89-QDBB7
76DX2-7YMCQ-K2WCP-672K2-BK44W
2RG93-6XVFJ-RKHQ7-D2RTT-3FMQT
TT63R-8JGWP-WWT97-R6WQC-4CVWY
YQJX6-D6TRM-VWBM7-PHDJK-YPXJH
Q7J7F-GQHBT-Q42RQ-2F8XV-2WKKM
KH4X7-JY8G7-RCD7G-BYDJW-YTPXH
WYBJ8-8QVP3-24R82-VV2VP-72Q9W
9DP2R-W78GJ-GJBKW-CKR46-H3WYT
CXB7F-WWCM4-BP9V3-2YH43-RK8Y6
W9BYV-K2TB8-4YDJT-QBQWP-KFDHB
WGDJW-B8DYC-WVKX4-6MKF4-B8PK8
2PHXF-9PBDW-D3WWY-CPDKD-XG87V
342DG-6YJR8-X92GV-V7DCV-P4K27

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

VDO การทำหนังสั้นเสริมสมอง

หนังสั้น

หนังสั้น คือ หนังยาวที่สั้น ก็คือการเล่าเรื่องด้วยภาพและเสียงที่มีประเด็นเดียวสั้น ๆ แต่ได้ใจความ

ศิลปะการเล่าเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นนิทาน นิยาย ละคร หรือภาพยนตร์ ล้วนแล้วแต่มีรากฐานแบบเดียวกัน นั่นคือ การเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นของมนุษย์หรือสัตว์ หรือแม้แต่อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นช่วงเวลาหนึ่งเวลาใด ณ สถานที่ใดที่หนึ่งเสมอ ฉะนั้น องค์ประกอบที่สำคัญที่ขาดไม่ได้คือ ตัวละคร สถานที่ และเวลา

สิ่งที่สำคัญในการเขียนบทหนังสั้นก็คือ การเริ่มค้นหาวัตถุดิบหรือแรงบันดาลใจให้ได้ ว่าเราอยากจะพูด จะนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับอะไร ตัวเราเองมีแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ อย่างไร ซึ่งแรงบันดาลใจในการเขียนบทที่เราสามารถนำมาใช้ได้ก็คือ ตัวละคร แนวความคิด และเหตุการณ์ และควรจะมองหาวัตถุดิบในการสร้างเรื่องให้แคบอยู่ในสิ่งที่เรารู้สึก รู้จริง เพราะคนทำหนังสั้นส่วนใหญ่ มักจะทำเรื่องที่ไกลตัวหรือไม่ก็ไกลเกินไปจนทำให้เราไม่สามารถจำกัดขอบเขตได้

เมื่อเราได้เรื่องที่จะเขียนแล้วเราก็ต้องนำเรื่องราวที่ได้มาเขียน Plot (โครงเรื่อง) ว่าใคร ทำอะไร กับใคร อย่างไร ที่ไหน เมื่อไร เพราะอะไร และได้ผลลัพธ์อย่างไร ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ข้อมูล หรือวัตถุดิบที่เรามีอยู่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคนว่ามีแนวคิดมุมมองต่อชีวิตคนอย่างไร เพราะความเข้าใจในมนุษย์ ยิ่งเราเข้าใจมากเท่าไร เราก็ยิ่งทำหนังได้ลึกมากขึ้นเท่านั้น

และเมื่อเราได้เรื่อง ได้โครงเรื่องมาเรียบร้อยแล้ว เราก็นำมาเป็นรายละเอียดของฉาก ว่ามีกี่ฉากในแต่ละฉากมีรายละเอียดอะไรบ้าง เช่นมีใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร ไปเรื่อย ๆ จนจบเรื่อง ซึ่งความจริงแล้วขั้นตอนการเขียนบทไม่ได้มีอะไรยุ่งยากมากมาย เพราะมีการกำหนดเป็นแบบแผนไว้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ยาก มาก ๆ ก็คือกระบวนการคิด ว่าคิดอย่างไรให้ลึกซึ้ง คิดอย่างไรให้สมเหตุสมผล ซึ่งวิธีคิดเหล่านี้ไม่มีใครสอนกันได้ทุกคน ต้องค้นหาวิธีลองผิดลองถูก จนกระทั่ง ค้นพบวิธีคิดของตัวเอง

การเตรียมการและการเขียนบทภาพยนตร์
การเขียนบทภาพยนตร์เริ่มต้นที่ไหน เป็นคำถามที่มักจะได้ยินเสมอสำหรับผู้ที่เริ่มหัดเขียนบทภาพยนตร์ใหม่ ๆ เช่น ควรเริ่มช็อตแรก เห็นยานอวกาศลำใหญ่แล่นเข้ามาขอบเฟรมบนแล้วเลยไปสู่แกแล็กซี่เบื้องหน้าเพื่อให้เห็นความยิ่งใหญ่ของจักรวาล หรือเริ่มต้นด้วยรถที่ขับไล่ล่ากันกลางเมืองเพื่อสร้างความตื่นเต้นดี หรือเริ่มต้นด้วยความเงียบมีเสียงหัวใจเต้นตึกตัก ๆ ดี หรือเริ่มต้นด้วยความฝันหรือเริ่มต้นที่ตัวละครหรือเหตุการณ์ดี เหล่านี้เป็นต้น บางคนบอกว่ามีโครงเรื่องดี ๆ แต่ไม่ทราบว่าจะเริ่มอย่างไร
การเริ่มต้นเขียนบทภาพยนตร์ เราต้องมีเป้าหมายหลักหรือเนื้อหาเป็นจุดเริ่มต้นการเขียน เราเรียกว่าประเด็น (Subject) ของเรื่อง ที่ต้องชัดเจนแน่นอน มีตัวละครและแอ็คชั่น ดังนั้น นักเขียนควรเริ่มต้นจากจุดนี้พร้อมด้วยโครงสร้าง (Structure) ของบทภาพยนตร์
ประเด็นอาจเป็นสิ่งที่ง่าย ๆ เช่น มนุษย์ต่างดาวเข้ามาเยือนโลกแล้วพลัดพลาดจากยานอวกาศของตน ไม่สามารถกลับดวงดาวของตัวเองได้ จนกระทั่งมีเด็ก ๆ ไปพบเข้าจึงกลายเป็นเพื่อนรักกัน และช่วยพาหลบหนีจากอันตรายกลับไปยังยานของตนได้ นี่คือเรื่อง E.T. – The Extra-Terrestrial (1982) หรือประเด็นเป็นเรื่องของนักมวยแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทที่สูญเสียตำแหน่งและต้องการเอากลับคืนมา คือเรื่อง Rocky III หรือนักโบราณคดีค้นพบโบราณวัตถุสำคัญที่หายไปหลายศตวรรษ คือเรื่อง Raider of the Lost Ark (1981) เป็นต้น
การคิดประเด็นของเรื่องในบทภาพยนตร์ของเราว่าคืออะไร ให้กรองแนวความคิดจนเหลือจุดที่สำคัญมุ่งไปที่ตัวละครและแอ็คชั่น แล้วเขียนให้ได้สัก 2-3 ประโยค ไม่ควรมากกว่านี้ และที่สำคัญไม่ควรกังวลในจุดนี้ว่าจะต้องทำให้บทภาพยนตร์ของเราถูกต้องในแง่ของเรื่องราว แต่ควรให้มันพัฒนาไปตามแนวทางของขั้นตอนการเขียนจะดีกว่า
สิ่งแรกที่เราควรฝึกเขียนคือต้องบอกให้ได้ว่าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร เช่น เรื่องเกี่ยวกับความดีและความชั่วร้าย หรือเกี่ยวกับความรักของหนุ่มชาวกรุงกับหญิงบ้านนอก ความพยาบาทของปีศาจสาวที่ถูกฆาตกรรม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความคิดที่ยังขาดแง่มุมของการเขียนว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป จึงต้องชัดเจนมากกว่านี้ โดยเริ่มที่ตัวละครหลักและแอ็คชั่น ดังนั้นประเด็นของเรื่องจึงเป็นสิ่งสำคัญของจุดเริ่มต้นการเขียนบทภาพยนตร์
อย่างไรก็ตาม การเขียนบทภาพยนตร์สำหรับนักเขียนหน้าใหม่ ควรค้นหาสิ่งที่น่าสนใจจากสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวของนักเขียนเอง เขียงเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองรู้ ทำให้ได้รายละเอียดในเชิงลึกของเนื้อหา เกิดความจริง สร้างความตื่นตะลึงได้ เช่นเรื่องในครอบครัว เรื่องของเพื่อนบ้าน เรื่องในที่ทำงาน ของตนเอง เรื่องในหนังสือพิมพ์รายวัน เป็นต้น



ดังนั้นขั้นตอนสำหรับการเขียนบทภาพยนตร์สามารถสรุปได้คือ

1. การค้นคว้าหาข้อมูล (research) เป็นขั้นตอนการเขียนบทภาพยนตร์อันดับแรกที่ต้องทำถือเป็นสิ่งสำคัญหลังจากเราพบประเด็นของเรื่องแล้ว จึงลงมือค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อเสริมรายละเอียดเรื่องราวที่ถูกต้อง จริง ชัดเจน และมีมิติมากขึ้น คุณภาพของภาพยนตร์จะดีหรือไม่จึงอยู่ที่การค้นคว้าหาข้อมูล ไม่ว่าภาพยนตร์นั้นจะมีเนื้อหาใดก็ตาม

2. การกำหนดประโยคหลักสำคัญ (premise) หมายถึงความคิดหรือแนวความคิดที่ง่าย ๆ ธรรมดา ส่วนใหญ่มักใช้ตั้งคำถามว่า “เกิดอะไรขึ้นถ้า...” (what if) ตัวอย่างของ premise ตามรูปแบบหนังฮอลลีวู้ด เช่น เกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องโรเมโอ & จูเลียตเกิดขึ้นในนิวยอร์ค คือ เรื่อง West Side Story, เกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ดาวอังคารบุกโลก คือเรื่อง The Invasion of Mars, เกิดอะไรขึ้นถ้าก็อตซิล่าบุกนิวยอร์ค คือเรื่อง Godzilla, เกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ต่างดาวบุกโลก คือเรื่อง The Independence Day, เกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องโรเมโอ & จูเลียตเกิดขึ้นบนเรือไททานิค คือเรื่อง Titanic เป็นต้น

3. การเขียนเรื่องย่อ (synopsis) คือเรื่องย่อขนาดสั้น ที่สามารถจบลงได้ 3-4 บรรทัด หรือหนึ่งย่อหน้า หรืออาจเขียนเป็น story outline เป็นร่างหลังจากที่เราค้นคว้าหาข้อมูลแล้วก่อนเขียนเป็นโครงเรื่องขยาย (treatment)

4. การเขียนโครงเรื่องขยาย (treatment) เป็นการเขียนคำอธิบายของโครงเรื่อง (plot) ในรูปแบบของเรื่องสั้น โครงเรื่องขยายอาจใช้สำหรับเป็นแนวทางในการเขียนบทภาพยนตร์ที่สมบูรณ์ บางครั้งอาจใช้สำหรับยื่นของบประมาณได้ด้วย และการเขียนโครงเรื่องขยายที่ดีต้องมีประโยคหลักสำหคัญ (premise) ที่ง่าย ๆ น่าสนใจ

5. บทภาพยนตร์ (screenplay) สำหรับภาพยนตร์บันเทิง หมายถึง บท (script) ซีเควนส์หลัก (master scene/sequence)หรือ ซีนาริโอ (scenario) คือ บทภาพยนตร์ที่มีโครงเรื่อง บทพูด แต่มีความสมบูรณ์น้อยกว่าบทถ่ายทำ (shooting script) เป็นการเล่าเรื่องที่ได้พัฒนามาแล้วอย่างมีขั้นตอน ประกอบ ด้วยตัวละครหลักบทพูด ฉาก แอ็คชั่น ซีเควนส์ มีรูปแบบการเขียนที่ถูกต้อง เช่น บทสนทนาอยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษฉาก เวลา สถานที่ อยู่ชิดขอบหน้าซ้ายกระดาษ ไม่มีตัวเลขกำกับช็อต และโดยหลักทั่วไปบทภาพยนตร์หนึ่งหน้ามีความยาวหนึ่งนาที

6. บทถ่ายทำ (shooting script) คือบทภาพยนตร์ที่เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการเขียน บทถ่ายทำจะบอกรายละเอียดเพิ่มเติมจากบทภาพยนตร์ (screenplay) ได้แก่ ตำแหน่งกล้อง การเชื่อมช็อต เช่น คัท (cut) การเลือนภาพ (fade) การละลายภาพ หรือการจางซ้อนภาพ (dissolve) การกวาดภาพ (wipe) ตลอดจนการใช้ภาพพิเศษ (effect) อื่น ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเลขลำดับช็อตกำกับเรียงตามลำดับตั้งแต่ช็อตแรกจนกระทั่งจบเรื่อง

7. บทภาพ (storyboard) คือ บทภาพยนตร์ประเภทหนึ่งที่อธิบายด้วยภาพ คล้ายหนังสือการ์ตูน ให้เห็นความต่อเนื่องของช็อตตลอดทั้งซีเควนส์หรือทั้งเรื่องมีคำอธิบายภาพประกอบ เสียงต่าง ๆ เช่น เสียงดนตรี เสียงประกอบฉาก และเสียงพูด เป็นต้น ใช้เป็นแนวทางสำหรับการถ่ายทำ หรือใช้เป็นวิธีการคาดคะเนภาพล่วงหน้า (pre-visualizing) ก่อนการถ่ายทำว่า เมื่อถ่ายทำสำเร็จแล้ว หนังจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งบริษัทของ Walt Disney นำมาใช้กับการผลิตภาพยนตร์การ์ตูนของบริษัทเป็นครั้งแรก โดยเขียนภาพ เหตุการณ์ของแอ็คชั่นเรียงติดต่อกันบนบอร์ด เพื่อให้คนดูเข้าใจและมองเห็นเรื่องราวล่วงหน้าได้ก่อนลงมือเขียนภาพ ส่วนใหญ่บทภาพจะมีเลขที่ลำดับช็อตกำกับไว้ คำบรรยายเหตุการณ์ มุมกล้อง และอาจมีเสียงประกอบด้วย

การเขียนบทภาพยนตร์จากเรื่องสั้น
การเขียนบทอาจเป็นเรื่องที่นำมาจากเรื่องจริง เรื่องดัดแปลง ข่าว เรื่องที่อยู่รอบ ๆ ตัว นวนิยาย เรื่องสั้น หรือได้แรงบันดาลใจจากความประทับใจในเรื่องราวหรือบางสิ่งที่คนเขียนบทได้สัมผัส เช่น ดนตรี บทเพลง บทกวี ภาพเขียน และอื่น ๆ ซึ่งบทภาพยนตร์ต่อไปนี้ได้แปลมาจากเรื่องสั้นในนิตยสาร The Mississippi Review โดย Robert Olen Butler เรื่อง Salem แต่ในที่นี้จะไม่กล่าวถึงมาตรฐานรูปแบบการเขียนบทภาพยนตร์ว่ามีการเขียนและการจัดหน้าอย่างไร ขอให้ศึกษาได้ใบทภาพยนตร์โดยทั่วไป

"Facebook"

เว็บไซต์ต่างประเทศเผยความจริงของ "Facebook" ที่คุณอาจไม่รู้มาก่อน ซึ่งหากคุณหลงไหลเรื่องราวแห่งความประทับใจ หรืออะไรก็ตามที่เกิดขึ้นบน Facebook จงอย่าพลาดที่จะอ่านเรื่องราวดังที่จะกล่าวต่อไปนี้...

เว็บไซต์ต่างประเทศรายงานเปิดเผยความจริงของเว็บไซต์สังคมออนไลน์ยอดนิยม "Facebook" ซึ่งอ้างว่าคุณอาจไม่รู้มาก่อน แม้คุณจะทราบว่า

เพจยอดนิยม คือ โฮเมอร์ ซิมสัน หรือ ไมเคิล แจ๊กสัน รวมถึงรู้ว่าผู้ใช้งานต่างใช้เวลาบนหน้า Facebook ราว 8.3 พันล้านชั่วโมงในแต่ละเดือน (ซึ่งเชื่อได้ว่า ส่วนใหญ่เข้าไปเล่นเกม FarmVille ) ถ้าหากว่าคุณหลงไหลที่จะรวบรวมเรื่องราวแห่งความประทับใจ หรืออะไรก็ตาม ที่เกิดขึ้นบน Facebook จงอย่าพลาดที่จะอ่านเรื่องราวดังต่อไปนี้...

โชคดีหากคุณมีโปรไฟล์ส่วนตัวบน Facebook และจะโชคดียิ่งขึ้นหากคุณเข้าไปเช็คมันอย่างน้อยวันละครั้ง คุณอาจเป็นผู้ช่ำชองในการเล่นเกม FarmVille หรือ เข้าร่วมกลุ่มชื่นชอบผู้นำประเทศกว่า 100 กลุ่ม แต่คุณไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับ Facebook หรืออะไรคือข้อมูลส่วนตัวของคุณ นี่คือเวลาอันเล็กน้อยที่จะมาเรียนรู้ Facebook กัน

ปีเตอร์ ธีล (Peter Thiel) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal เป็นผู้ลงทุนรายแรก ที่ช่วยให้ได้เปิดตัว Facebook ด้วยเงินจำนวน 500,000 เหรียญสหรัฐฯ

ซึ่งในตอนเริ่มแรกของ Facebook นั้น เกือบจะต้องปิดตัวลงเนื่องจากเรื่องราวในชั้นศาล กรณีเพื่อนร่วมชั้นเรียน กล่าวหาว่า

มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้ง Facebook ขโมยไอเดีย และเทคโนโลยีในการสร้างเว็บไซต์สังคมออนไลน์ แต่ในที่สุดข้อพิพาทก็ยุติลงเรียบร้อย

ทุกวันนี้ ผู้ใช้งาน 400 ล้านคน ล็อกอินเข้าไปในโปรไฟล์ส่วนตัวบน Facebook อย่างน้อย 1 ครั้งต่อเดือน หรือ จำนวน 50 เปอร์เซ็นต์ เข้าไปเช็ค Facebook ทุก ๆ วัน

ด้านความเป็นสากลของ Facebook นั้น บ่งชี้ได้จากจำนวนผู้ใช้งาน 70 เปอร์เซ็นต์ อยู่นอกพื้นที่สหรัฐฯ นอกจากนี้ Facebook ยังพัฒนาให้มีมากกว่า 70 ภาษา (ประชากรกึ่งหนึ่งของเดนมาร์กมีโปรไฟล์บน Facebook เป็นของตัวเอง หากมองในลักษณะของตัวเลข จะเท่ากับ 2,421,380 คน จากทั้งหมด 5,484,723 คน)


การจัดอันดับเว็บไซต์ยอดนิยมจาก Traffic แสดงให้เห็นว่า

ปัจจุบัน Facebook ได้รับความนิยมมาเป็นอันดับ 2 รองจาก Google ที่ยังคงรั้งที่ 1 ไว้ได้เสมอ ส่วนที่ 3 เป็นของ Youtube ส่วนเว็บไซต์สังคมออนไลน์อื่น ๆ ยังคงไม่ติดฝุ่น โดย Twitter นั้นอยู่ในอันดับที่ 11 ขณะที่ Myspace อยู่ที่ 19

ในปี 2006 Yahoo พยายามขอซื้อ Facebook จาก มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เป็นเงิน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ถูกปฏิเสธ

ในปี 2009 Facebook มีมูลค่าสูงถึง 4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

วันนี้มูลค่าของ Facebook พุ่งทะยานราว 7.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ถึง 1.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ

เพจยอดนิยมของ Facebook :
อันดับ 1. ไมเคิล แจ๊กสัน
อันดับ 2. ตัวการ์ตูน โฮเมอร์ ซิมสัน
อันดับ 3. Facebook เอง
อันดับ 4. บารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
อันดับ 5. กาแฟสตาร์บั๊ก


ในเดือนหนึ่งๆ ผู้ใช้งาน Facebook เข้ามาใช้เวลาในโปรไฟล์รวม 8.3 พันล้านชั่วโมง, แต่ละโปรไฟล์มีเพื่อนเฉลี่ย 130 คน, มีการใช้งานแอพพลิเคชั่น กว่า 550,000 แอพพลิเคชั่น (จำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกวัน)

ผู้หญิงอายุ 55 ปีขึ้นไป ในสหรัฐฯ ใช้งาน Facebook เพิ่มมากขึ้น

สิ่งสำคัญที่สุด :
-Facebook มีสิทธิ์ทุกประการในข้อมูลของมูลใช้งาน แม้ผู้ใช้งานจะยกเลิกแอคเคาท์แล้วก็ตาม
-Facebook ได้รับความนิยมมาก กระทั่งนักจิตวิทยายกให้เป็นโรคความบกพร่องทางด้านจิตใจประเภทหนึ่ง หรือเรียกว่า Facebook Addiction Disorder
-ในประเทศออสเตรเลีย Facebook แทรกซึมเข้าไปในกระบวนการยุติธรรมของศาล

Facebook สร้างรายได้จากการขายโฆษณาและผลิตภัณฑ์ได้มากมายมหาศาล
ปี 2007 ทำได้ 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ปี2008 ทำได้ 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ปี2009 ทำได้ 600-700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ปี2010 ทำได้ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

Status Update ของผู้ใช้งาน Facebook ในปี 2009 ที่ได้รับความนิยมสูง คือ

เรื่องราวเกี่ยวกับ แอพพลิเคชั่นบน Facebook มาเป็นอันดับ 1 ส่วนอันดับ 2 คือเรื่องราวในชีวิตประจำวัน อันดับ 3 เป็นเรื่องของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ส่วนที่น่าสนใจคืออันดับ 12 เลดี้ กาก้า อันดับ 13 เรื่องสวน อันดับ 14 คือเรื่องของศาสนา.

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เบื้องหลังการถ่ายสารคดีกลุ่ม moso

เรื่องของ สเลท (Slate)

สเลท(Slate) ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์มาแต่ไหนแต่ไร เมื่อเห็นปั๊บก็จะรู้ทันทีว่า อ่อ...สิ่งนี้เกี่ยวกับหนังแน่ๆ แต่แปลกไหมครับว่า การทำหนังสั้นหนังอิสระในบ้านเราใช้สเลทกันน้อยเหลือเกิน หลายคนอาจจะยังงงๆว่า สเลทมันมีประโยชน์ยังไงนะ? ใช้ยังไงนะ? ยุ่งยากจัง! ไม่เห็นมีประโยชน์เท่าไหร่เลย!! เอาล่ะ วันนี้เราลองมาคุยเรื่องสเลทกันดีกว่า

สำหรับภาพยนตร์ สเลทเป็นเหมือนฉลากเพื่อบอกรายละเอียดของภาพที่ถ่ายมา ตัวสเลทมีก้านเล็กๆมีไว้ตีทำให้เกิดเสียง และมีกระดานตีเป็นช่องๆให้กรอกรายละเอียด ใช้ถือไว้หน้ากล้องทุกฉาก ทุกช้อต ทุกเทค ที่มีการถ่ายทำ ต้องบอกก่อนว่าหน้าตาของสเลทนั้นมีหลากหลาย ขึ้นอยู่กับความชอบ ความถนัดของผู้ใช้ หรือข้อตกลงกันในกองถ่าย บางครั้งสเลทอาจจะเป็นแค่ช่องโล่งๆไม่มีตัวหนังสืออะไรเลยก็ได้ ไว้สำหรับให้กองถ่ายกำหนดเอาเองเลยว่าจะใช้ยังไง

เราจะเห็นประโยชน์ของสเลทกันอย่างชัดๆในขั้นตอนหลังการถ่ายทำ ดังนั้นสิ่งที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ ก็เลยอยากให้ลองจินตนาการภาพตามว่า เราถ่ายหนังกันเสร็จไปเมื่อหลายวันก่อน ส่งฟุตเตจทั้งภาพและเสียงให้เพื่อนเทลงคอมฯไว้แล้ว ตอนนี้เรากำลังมานั่งล้อมวงกัน เปิดคอมฯ เปิดจอมอนิเตอร์ ถือบทหนัง ถือProduction Report ถือSound Report อยู่ในมือ มานั่งดูฟุตเตจของหนังและลงมือตัดต่อไปพร้อมๆกัน
ภาพแรกที่ปรากฏคือภาพ Slate

PROD./PRODUCTION
มักจะอยู่ด้านบนสุดของสเลท ใช้กรอกให้ทราบว่านี่คือฟุตเตจของงานอะไร หนังเรื่องอะไร บางคนอาจจะคิดว่าเอ๊ะ...ทำไมต้องเขียน ก็นี่มันหนังของเราเอง เราจะไม่รู้ได้ไง? ใช่..ถ้าคุณทำหนังเองคนเดียวก็คงไม่เป็นไร แต่ในระบบอุตสาหกรรมที่มีการถ่ายหนังกันมากมายในแต่ละวัน ส่งฟิล์มล้างกันทุกวันๆ แต่ละเรื่องก็ส่งไม่พร้อมกันทั้งหมดทีเดียว สลับกันไป สลับกันมา หรือแม้แต่การทำหนังในระบบการศึกษาที่การเปิดกล้องมักจะมากระจุกกันตอนปลายๆเทอม ต้องจองคิวใช้ห้องตัดต่อกันแน่นแบบชั่วโมงสลับชั่วโมง เดี๋ยวรุ่นพี่ เดี๋ยวรุ่นน้อง การที่เราถ่ายสเลทและมีชื่อเรื่องแจ้งไว้อย่างชัดเจน จะเป็นการป้องกันการสับสนและผิดพลาด ลองคิดดูเล่นๆว่า ถ้าทุกชั้นปีถ่ายหนังรวมๆแล้วเทอมหนึ่งประมาณ 30 เรื่อง มีฟุตเตจเป็น100ม้วน ถ้าฟุตเตจทุกม้วนไม่มีใครใช้สเลทเลย!! จะมีโอกาสเกิดความผิดพลาดจะมีมากน้อยแค่ไหน


PROD.CO./PRODUCTION COMPANY
เป็นช่องสำหรับเขียนชื่อบริษัทผู้สร้างหนัง หรือบริษัทที่ผลิตงานชิ้นนั้นๆ เหมือนเป็นฉลากยี่ห้อเพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของก็ว่าได้ หรือถ้าหากมีปัญหาใดๆเกิดขึ้นจะได้รู้ว่างานดังกล่าวเป็นของบริษัทอะไร ใครเป็นผู้รับผิดชอบงาน และควรติดต่อที่ไหน สำหรับนักศึกษาบางทีก็เห็นเขียนชื่อกลุ่ม ชื่อแก๊ง หรือชั้นปี ยังไงก็ต้องทำให้คนอื่นทราบนะครับว่าแก๊งนี้น่ะคือใคร ติดต่อได้ยังไง จะได้ไม่มีปัญหาคั่งค้าง





SCENE

เป็นช่องสำหรับเขียนเลขฉากตามสคริปท์ แน่นอนว่าการถ่ายหนังเราไม่สามารถถ่ายเรียงลำดับไปทีละฉากๆได้เสมอไป สมมุติว่าหนังของเรามี 10 ฉาก เมื่อเราเริ่มเปิดฟุตเตจดู ถ้าไม่มีสเลท เราอาจจะจำไม่ได้ว่า เอ..นี่เราถ่ายฉากไหนมาก่อนนะ แต่ถ้าเรามีสเลทและมีเลขฉากระบุไว้ว่าฉาก 5 อ่อ..เราพอจะรู้ได้คร่าวๆอย่างรวดเร็วเลยว่า ฟุตเตจของฉากนี้น่าจะอยู่ตอนกลางๆของเรื่อง เราก็ไล่ดูฟุตเตจไปเรื่อยๆ และยกฟุตเตจทั้งก้อนของแต่ละฉากๆลงมาแปะไว้ในTimeLineเรียงลำดับอย่างคร่าวๆ เป็นฉาก1 ฉาก2 ฉาก3 ...จนถึงฉาก 10 อย่าเพิ่งตัดต่อเอาหัวสเลทออกไปนะครับ มันยังมีประโยชน์


CUT/SHOT

เป็นช่องสำหรับเขียนเลขช้อตหรือเลขคัทตามสคริปท์(ช้อตกับคัทมีความหมายเดียวกัน) ในแต่ละฉากก็จะมีช้อตซอยย่อยอยู่ในนั้น ซึ่งก็เป็นธรรมชาติของการถ่ายหนังอีกเช่นกันว่าเราไม่สามารถถ่ายเรียงลำดับไปทีละช้อตๆได้ เมื่อกี้เราแปะคลิปของแต่ละฉากๆไล่เรียงไว้ในTimeLineเรียบร้อยแล้วแล้ว เราลองมาดูทีละฉาก
ถ้าเราถ่ายสเลทมา เราจะมองเห็นง่ายขึ้นเลยว่าแต่ละช้อตภายในฉากหนึ่งๆจัดเรียงอยู่อย่างไร มันอาจจะยังสลับกันไปสลับกันมา เราก็เพียงแต่ดูเลขช้อตแล้วเรียงลำดับมันใหม่ซะ หนังก็จะเริ่มเรียงฉาก เรียงช้อต เห็นหน้าตาคร่าวๆของหนังกันแล้ว ตอนนี้ก็อย่าเพิ่งตัดเอาหัวสเลทออกนะ ยังต้องใช้มันอยู่

สังเกตไหมครับว่าSlateของภาพยนตร์มักไม่มีช่องของ Cut หรือ Shot เพราะในการถ่ายภาพยนตร์ขนาดยาวๆนั้น เราอาจจะไม่ได้แบ่งการถ่ายทำเป็น Cut หรือ Shot ชัดเจนแบบหนังสั้นหรือหนังโฆษณา แต่ผู้กำกับจะรู้ว่าวันนี้เรากำลังจะถ่ายอะไร ในSceneนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วใช้วิธีไหลไปตามอารมณ์ที่เหมาะสม อาจจะถ่ายหลายมุม หลายขนาดภาพ หลายtake หลายรูปแบบการแสดงไว้เลือกใช้ แล้วเดี๋ยวค่อยมาตัดต่อเป็น Cut ย่อยๆทีหลังในขั้นตอนPost วิธีนี้จะทำให้คนตัดต่อมีอิสระในการตัดต่อมากขึ้น โดยที่เขาจะพิจารณาการตัดสลับเอาเองใหม่ ด้วยวิจารณญาณตรงนั้น ซึ่งจะทำให้ได้ผลงานที่ออกมามีความกลมกลืนลื่นไหลมากกว่าที่จะไปกำหนดเป็น cut หรือ shot ตั้งแต่ตอนถ่ายทำ แต่บอกก่อนว่า วิธีนี้เป็นวิธีที่สิ้นเปลืองและเสียเวลามากกว่า


TAKE

เป็นช่องสำหรับเขียนเลขเทค จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนการถ่ายซ้ำ การถ่ายทำแต่ละช้อตบางครั้งก็จะมีหลายๆเทค ในการตัดต่อเราจะต้องใช้ Production Report (เอกสารรายงานการถ่ายทำ)มาประกอบ ว่าเทคไหนที่เราจะเลือกใช้ การทำงานจะง่ายถ้าเราได้ตัดสินใจตั้งแต่วันออกกองแล้วว่าเราเลือกใช้เทคไหน เมื่อดูตามProduction Report เราก็จะเริ่มตัดต่อเก็บไว้เฉพาะเทคที่เราเลือกใช้ เทคที่เสียก็ตัดทิ้งออกไป คราวนี้หนังก็จะเรียงฉาก เรียงช้อตที่เลือกเทคแล้ว และเห็นเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนมากขึ้นแล้ว และเหมือนเดิม...อย่าเพิ่งตัดเอาหัวสเลทออกนะครับ

ROLL

เป็นช่องสำหรับเขียนเลขม้วน สมมุติว่าเรานั่งตัดต่อหนังขั้นละเอียดไปซักพักแล้วดันเห็นว่า ช้อตที่เราเลือกดันมีเฟรมดร็อปหรือมีความผิดพลาดของการเทสัญญาณภาพจากเทปลงเครื่องตัดต่อ เราต้องเทภาพฟุตเตจลงไปใหม่ เราก็แค่ไปเช็คดูในไฟล์ฟุตเตจว่าภาพที่เราต้องการนี้มันอยู่ในม้วนเทปที่เท่าไหร่ แล้วเอามาเทลงใหม่ แค่นี้เอง ลองคิดดูนะว่าถ้าเราไม่ได้ถ่ายสเลทมา อาจจะต้องปวดหัวกับการนึกเองว่า เอ...เทคนี้ ช้อตนี้ ฉากนี้ มันอยู่ในเทปม้วนไหนนะ


INT./EXT.

ย่อมาจาก Interior/Exterior หมายถึง ฉากภายใน/ฉากภายนอก ภายในหรือภายนอกนี้ไม่ได้อิงจากสถานที่ถ่ายทำ(Location)นะครับ แต่อิงจากภายในหรือภายนอกตามบท เพราะบางครั้งเราถ่ายภายในสตูดิโอก็จริง แต่เราเซ็ทฉากเป็นริมถนน เป็นป่า เป็นสุสานก็ได้นี่ครับ วิธีใช้งานก็คือวงให้เห็นชัดเจนว่ามันคือฉากภายในหรือภายนอก ไม่ควรใช้วิธีขีดเส้นใต้หรือขีดฆ่าตัวที่เราไม่ต้องการ เพราะจะทำให้สับสนได้ง่าย แต่ถ้าสเลทบางตัวไม่ได้พิมพ์อักษรไว้ให้เราวง ก็กรอกคำว่า INT. หรือ EXT. ได้เลยครับ


D./N.

ย่อมาจาก Day/Night หมายถึง กลางวัน/กลางคืน เช่นกัน เราไม่ได้อิงจากเวลาถ่ายทำจริง แต่อิงจากเวลาตามบท เพราะบ่อยๆครั้งที่เราจัดแสงหลอกเวลาได้ หรือถ่ายกลางวันไปแก้สีเป็นกลางคืน(Day for Night) การระบุเวลาในสเลทจึงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการทำงานในขั้นตอนPost วิธีใช้งานก็คือวงให้เห็นชัดเจน แต่ถ้าสเลทไม่ได้พิมพ์อักษรไว้ ก็กรอกอักษร D หรือ N ลงไปได้เลย


SOUND

เป็นช่องสำหรับเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับเสียง ว่าการถ่ายทำในฉาก ช้อต และเทคนั้นๆ บันทึกเสียงหรือไม่ อย่างไร ถ้ามีการบันทึกเสียงก็นิยมเขียนว่า Sync ถ้าไม่มีการบันทึกเสียงนิยมเขียนว่า MOS แต่ถ้าสเลทบางมีตัวอักษร ก็ใช้วิธีวงล้อมรอบ
การเขียนสเลทในช่องนี้สำคัญมากในกรณีที่บันทึกเสียงแยกกับการบันทึกภาพ แต่ถ้าเป็นการบันทึกเสียงลงไปพร้อมกับภาพในม้วนเทปเดียวกันแล้วก็ไม่มีปัญหา ทีนี้สมมุติว่าฟุตเตจที่เรากำลังตัดต่อกันอยู่เป็นการถ่ายทำแบบบันทึกเสียงแยกกับการบันทึกภาพ แน่นอน...เราจะได้เห็นในช่องsoundเขียนว่า Sync และเห็นภาพก้านสเลทตีลงมากระทบกับตัวแผ่นสเลทตอนเริ่มถ่ายทำ แต่แน่นอนตอนนี้มันยังเงียบสนิท
คราวนี้เราต้องไปดูที่ฟุตเตจเสียงกันบ้างแล้ว สมมุติว่าเราเริ่มตัดต่อที่ฉาก1 ช้อต1 เทค4 ช่องsoundเขียนว่าSync มีการตีสเลท เราต้องไปดูที่เอกสาร Sound Report ว่าเสียงของฉาก1 ช้อต1 เทค4 มันอยู่ตรงไหน แล้วเราก็เลือกมันลงมา
คลิปภาพและเสียงจะถูกนำมาวางให้ตรงกัน โดยอาศัยดูจากเฟรมภาพที่ก้านสเลทกระทบกับแผ่นกระดานวางให้ตรงกับเวฟของเสียงแป๊ก!!พอดี หนังของเราก็จะเรียงฉาก เรียงช้อต เลือกเทค และมีเสียงขึ้นมาแล้ว.... ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่เราต้องการ คราวนี้เราถึงจะตัดหัวเสลทออกไปได้
เราเรียกการตัดต่อในระดับนี้ว่าการตัดหยาบ (Rough Cut)


CHAPTER
ที่จริงน้อยครั้งมากที่จะเห็นช่องนี้บนสเลท พอไปเจอก็เลยรีบเอารูปนี้มาฝาก ไม่แน่ใจนะครับว่าหมายถึงอะไร แต่คิดว่าน่าจะใช้กรอกเลขหรือชื่อChapterตามบทเหมือนกัน แต่คำว่าChapterก็ไม่ค่อยพบในบทนะครับ ก็ขอสรุปเอาเองว่าคงจะหมายถึง SEQUENCE กระมังครับ อันนี้ก็ยกตัวอย่างว่าเป็น chapter หรือ sequence # D


DIRECTOR

เป็นช่องสำหรับเขียนชื่อผู้กำกับ สำหรับช่องนี้คงไม่ต้องบอกอะไรมาก ใครๆก็รีบเขียนช่องนี้กันอยู่แล้ว มันก็เหมือนเป็นการบอกยี่ห้อและเจ้าของหนัง แต่บางครั้งหนังเรื่องหนึ่งก็ถ่ายโดยใช้ผู้กำกับหลายคน เราจะได้รู้ว่าผู้กำกับคนไหนกำกับในฉากอะไร ช้อตอะไร และกรณีที่ผู้กำกับไม่ได้ตัดต่อเอง เมื่อคนตัดต่อมีปัญหาหรือข้อสงสัยเกิดขึ้น จะได้ติดต่อหรือแจ้งกับผู้กำกับคนนั้นๆได้ทันที


CAMERAMAN / D.P.

เป็นช่องสำหรับเขียนชื่อผู้กำกับภาพหรือตากล้อง ประโยชน์ของช่องนี้ดูจะสำคัญมากกว่าชื่อผู้กำกับซะอีก เพราะงานของผู้กำกับภาพมักจะซับซ้อนและละเอียดอ่อน เช่น ชดเชยแสงมามากน้อยแค่ไหน, ถ่ายเป็นDay for Nightรึเปล่า, แสงที่จัดออกมาต้องการให้แก้สีหรือไม่, อยากให้ดูเป็นภายในหรือภายนอก ฯ ซึ่งถ้าหนังเรื่องหนึ่งมีตากล้องหลายคน วิธีการทำงานก็จะหลากหลายออกไป เมื่อคนตัดต่อมีปัญหาหรือข้อสงสัย จะได้ติดต่อกับตากล้องได้ทันทีเหมือนกัน


DATE

เป็นช่องสำหรับเขียนวันที่ที่ถ่ายทำ ตัวเลขพวกนี้จะเชื่อมโยงถึงกันหมด ถ่ายวันไหน ถ่ายเรื่องอะไร ฉากอะไร ช้อตอะไร ม้วนเทปที่เท่าไหร่ ซึ่งจะตรงกับในProduction Report และ Sound Report ด้วย ถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้น เราจะสามารถเช็คได้ง่ายๆว่าอะไรอยู่ตรงไหน

ที่มา http://www.magic-dv.net63.net/articles.php?article_id=7



slate มีหน้าที่ที่สำคัญมากในส่วนของการลำดับภาพและตัดต่อเค๊อะ เพื่อที่จะรู้ว่าฟิลม์นี้ เป็นฟิลม์ที่เราต้องการใช้รึเปล่า สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับ slate เลยก็คือ

SCENE - ฉากที่
CUT - คัตหรือช็อต ซึ่งซอยย่อยลงมาจากฉาก
TAKE - ครั้งที่เล่นในแต่ละ scene, cut เช่น เทคเดียว ก็เล่นครั้งเดียว แต่ถ้า 10 เทค ก็แสดงว่าเล่นซีนเดิมคัตเดิมมา 10 ครั้ง ตัว take ใน slate จะเป็นตัวบอกว่านี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่

มีแค่ 3 ตัวนี้ละคะ ที่สำัคัญที่สุดสำหรับ slate เลย เรียกว่า ถ้าขาดแล้วก็ขาดใจ

ส่วนการตี slate นั้น(เท่มากคะ จอร์จ >
ซิงค์เสียงแหละคะ{ซิงค์ = Synchronize})

ดังนั้น ถ้าเราทำหนัง ที่ถ่ายด้วยกล้อง DV หรือ HDV หรืออะไรก็ตามแต่ที่เป็นสัญญาณดิจิตอล ก็ไม่ต้องตี slate ค่ะ
ไม่งั้นจากเท่มากๆ มันจะกลายเป็นเสร่อสุดๆ ค่ะ - -" เพราะกล้องพวกนี้จะอัดเสียงไปพร้อมกับภาพอยู่แล้วจึงไม่ต้องมานั่ง sync
เสียงให้เมื่อย ยกเว้นแต่ว่า เราอุตส่าห์อัดเสียงแยก หรือไม่ก็กันเหนียวในกรณีถ่ายกล้อง 2 ตัวขึ้นไป

ส่วนการถ่ายด้วยฟิลม์ .. ต้องตีแน่นอนคะ เพราะกล้องฟิลม์จะอัดแค่ภาพ ส่วนเสียง เราต้องอัดด้วยเครื่องบันทึกเสียงแยกคะ - -"
แต่ก็ไม่แน่ใจแล้วนะคะ ว่าถึงสมัยนี้จะมีระบบ sync เสียงกับภาพให้เดินพร้อมกันเวลาถ่ายแล้ว ยังจำเป็นต้องตีกันเหนียวอยู่รึเปล่า


ส่วนต่อไปนี้ก็เอาไว้อ้างอิงเพิ่มเติม ขาดไปไม่ตาย แค่พิการ เพราะส่วนมากเรื่องพวกนี้คนลำดับภาพจะดูจากบันทึกใน
เอกสารมากกว่า แต่ควรจะใส่ไว้กันมึนคะ
Roll - ม้วนฟิลม์ ม้วนที่เท่าไหร่
time code - เวลาในกล้อง
date - วันที่ถ่ายทำ
int/ext - ถ่ายภายใน(interior)หรือภายนอก(exterior)อาคาร

แล้วก็ ในส่วนที่ slate ขาดได้ แต่คนทำหนังขาดไม่ได้ ฮาๆ เฮ้ย ขาดส่วนนี้ได้ไง เด๋วเค้าไม่รู้ว่าหนังใคร เกิดสลับฟิลม์เวลาส่งล้าง
จะได้รู้เรื่อง
PROD. (production) - ชื่อหนัง
Director - ผู้กำกับ
Camera man - ช่างภาพ(ไว้เอาผิดเวลาถ่ายไม่ดี 55+)

ในภาพที่เห็น จะมีแต่ scene ไม่มี cut ก็สามารถยัด cut ควบไปกับ sceneได้ โดย / เช่น ซีน 1 คัต 10 ก็ใส่ในช่อง ซีนว่า 1/10

MOS DAY NITE นี้ไม่รู้แหะ .. ว่าคืออะไร
Sync ไว้บอกว่าซิงค์เสียงรึเปล่า
MOS หรือ mute of sound ( เดาเอา )
มอส หรือ ไม่เอาเสียง (ฮา) มีคนเคยบอกไว้ ( เอาไว้บอกว่าคัทนี้ที่เราถ่ายไม่ได้บันทึกเสียงมาด้วย ) ครับ

ส่วน เดย์ หรือไนท์ ก็เป็นกลางวันหรือกลางคืน น่าจะเป็นตามบทภาพยนตร์มากกว่าเวลาจริงนะ

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ขนาดภาพและมุมกล้อง

ขนาดภาพและมุมกล้อง ขนาดภาพจัดว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากอย่างหนึ่งในการถ่ายภาพยนตร์ เพราะภาพสามารถถ่ายทอดความรู้สึกของนักแสดง บอกเล่าเรื่องราวต่างๆให้กับผู้ชมได้เข้าใจถึงเนื้อหาของภาพยนตร์ ขนาดภาพจึงเป็นตัวกำหนดสิ่งที่ต้องการนำเสนอ ว่าต้องการให้ผู้ชมเห็นรือไม่เห็นสิ่งใดในฉากองค์ประกอบต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นจากผู้สร้างภาพยนตร์ ที่จะเลือกตั้งกล้องในมุมใด ระยะห่างจากสิ่งที่ถ่ายเท่าใด และใช้ภาพขนาดใดเป็นตัวบอกเล่าเรื่อง ขนาดภาพจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากที่จะต้องเรียนรู้พอๆกับเรื่องอื่น ในการสร้างภาพยนตร์

ภาพไกลมาก (Extreme Long Shot หรือ ELS)
ขนาดภาพลักษณะนี้กล้องจะตั้งอยู่ไกลจากสิ่งที่ถ่ายมาก ซึ่ง ภาพที่ได้จะเป็นภาพมุม-กว้าง ผู้ชมสามารถมองเห็นองค์-ประกอบของฉากได้ทั้งหมด สามรถมองเห็นสิ่งที่ถ่ายได้เต็มสัดส่วน แม้สิ่งที่ถ่ายนั้นจะมีขนาดเล็กก็ตาม ซึ่งภาพลักษณะนี้ จะใช้เป็นภาพแนะนำ-สถานที่ เหมาะสำหรับการปูเรื่อง เริ่มเรื่อง ซึ่งภาพยนตร์ในต่างประเทศนิยมใส่ไตเติ้ลส่วนหัวไว้ในฉากประเภทนี้ตอนที่ภาพยนตร์ริ่มเข้าเนื้อเรื่อง
ภาพขนาดไกลนี้จะสร้างความรู้สึกโอ่อ่า อลังการ แสดงออกถึงความใหญ่โตของสถานที่ ความน่าเกรงขาม ความยิ่งใหญ่ และยังสามารถสร้างความประทับใจรวมถึงสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้อีกด้วย
เช่น กลุ่มเรือโจรสลัดกำลังแล่นเรือออกสู่ทะเลกว้างโดยมีเรือของหัวหน้าโจรสลัดแล่นออกเป็นลำหน้า ตามด้วยกลุ่มเรือลูกน้องอีกนับ 10ลำ โดยใช้ภาพขนาดไกลมาก ตั้งกล้องในมุมสูงทำให้ผู้ชมเห็นถึงความยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามของโจรสลัดกลุ่มนี้
เป็นต้น

ภาพไกล (Long Shot หรือ LS)
ขนาดภาพแบบนี้ไม่สามารถกำหนดระยะห่างระหว่างกล้องกับสิ่งที่ถ่ายได้ แต่จะกำหนดโดยประมาณว่าสิ่งที่ถ่ายจะอยู่ในกรอบภาพ (Frame) พอดี ถ้าเป็นคน ศีรษะจะพอดีกับกรอบภาพด้านบน ส่วนกรอบภาพด้านล่างก็จะพอดีกับเท้า ซึ่งสามารถเห็นบุคลิก
อากัปกิริยาการแสดง การเคลื่อนไหว ตำแหน่งที่อยู่ในการแสดงหรือในฉาก ด้วยเหตุนี้จึงสามารถใช้เป็นภาพแนะนำตัวละคร หรือเริ่มฉากใหม่ได้ บางครั้งอาจใช้เป็นภาพในฉากเริ่มเรื่องได้เช่นเยวกันกับภาพขนาดไกลมาก และบางครั้งภาพขนาดไกลยังมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เอสทาบริชชิง ช็อต (Establishing Shot) ส่วนองค์ประกอบรอบข้างผู้ชมจะได้เห็นรายละเอียดชัดเจนมากขึ้น

ภาพปานกลาง Medium Shot หรือ MS)
ขนาดภาพลักษณะนี้ถ้าเป็นภาพบุคคล ผู้ชมจะได้เห็นตั้งแต่เอวของนักแสดงขั้นไปจนถึงศีรษะ ขนาดภาพแบบนี้ผู้ชมสามารถเห็นการเคลื่อนไหวของนักแสดง และรายละเอียดของฉากหลังพอสมควร ซึ่งพอที่จะเข้าใจเรื่องราวต่างๆได้ จึงถือได้ว่าเป็นภาพที่ถ่ายทอดเหตุการณ์ในเรื่องได้ดีขนาดภาพปานกลาง เป็นขนาดภาพที่นิยมใช้มากที่สุด เพราะใช้เป็นภาพเชื่อมต่อ กล่าวคือ การเปลี่ยนขนาดภาพจากภาพไกลมาเป็น
ภาพไกล้หรือจากภาพใกล้มาเป็นภาพไกลก็ตาม จะต้องเปลี่ยนมาเป็นภาพขนาดปานกลางเสียก่อน ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ขัดต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้ชม เนื่องจากภาพจะกระโดด
นอกจากนี้ภาพขนาดปานกลางยังนิยมใช้ถ่ายภาพบุคคล 2 คนในฉากเดียวกัน หรือที่เรียกกันว่า ภาพ Two Shot ซึ่งนิยมใช้กันมาก ในภาพยนตร์บันเทิง

ภาพใกล้ (Close-Up หรือ CU, Close Shot หรือ CS)
ภาพใกล้ ผู้ชมจะมองเห็นนักแสดงตั้งแต่ไหล่ขึ้นไป เป็นขนาดภาพที่ผู้ชมสามารถเข้าถึงอารมณ์ของนักแสดงได้มากที่สุด เพราะการใช้ภาพขนาดใกล้ถ่ายบริเวณใบหน้าของนักแสดง จะสามารถภ่ายถอดรายละเอียด เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกที่อยู่ภายในของนักแสดงได้อย่างชัดเจนมาก นอกจากนี้ยังจะทำให้ผู้ชมได้รู้สึกใกล้ชิดกับสิ่งที่ถ่ายอีกด้วยทั้งนี้เพื่อทำให้เข้าใจถึงรายละเอียดของวัตถุต่างๆ ตามเนื้อหาที่กำลังนำเสนอ และ
ภาพขนาดใกล้นี้ยังสามารถบังคับให้ผู้ชมสนใจในวัตถุที่กล้องกำลังถ่าย หรือสิ่งที่กำลังนำเสนอ

ภาพใกล้มาก (Extreme Close-Up Shot หรือ ECU, Big Close-Up Shot หรือ BCU)
เป็นภาพที่ถ่ายในระยะใกล้มากๆ ทั้งนี้เพื่อเป็นการเน้นสิ่งที่ถ่าย เพื่อให้ผู้ชมเห็นรายละเอียดของวัตถุ หรือเพื่อเพิ่มความเข้าใจในกรณีที่วัตถุมีขนาดเล็กมากๆ เช่น การถ่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้นหรือถ้าถ่ายใบหน้านักแสดง ก็เพื่อเป็นการเน้นอารมณ์ของนักแสดงเช่น จับภาพที่ดวงตาของนักแสดง ทำให้เห็นน้ำตาที่กำลังใหลออกจากดวงตา เป็นต้นและทั้งหมดนี้ก็เป็นขนาดภาพที่นิยมนำมาถ่ายทอดเรื่องราวของภาพยนตร์ ซึ่งตมความเป็นจริงแล้ว เราสามารถที่จะประยุกต์หรือดัดแปลงขนาดภาพไปเป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ผิดอะไร เพียงแต่ทั้งหมดนี้เป็นขนาดภาพสากลที่ทำให้เรา (ทีมงานถ่ายทำภาพยนตร์) เข้าใจตรงกันว่าต้องการให้ภาพออกมาในลักษณะใดเท่านั้น นอกจากนี้อารมณ์และความรู้สึกที่ผู้ชมจะได้รับขณะชมภาพยนตร์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดภาพเพียงย่างเดียว แต่ต้องอาศัยองค์ประกอบของภาพยนตร์อื่นๆ เข้ามาเป็นตัวช่วยเสริมความน่าเชื่อถือ และความเป็นภาพยนตร์มากยิ่งขึ้น

มุมกล้อง (Camera Angle)
มุมกล้องจัดว่าเป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งของการจัดองค์ประกอบเพื่อการถ่าภาพยนตร์ ซึ่งจะสัมพันธ์กับขนาดภาพด้วย หากสังเกตุจากบทภาพยนตร์โดยทั่วไปนั้น จะเห็นว่า
รายละเอียดเรื่องของขนาดภาพและมุมกล้องต้องถูดเขียนมาควบคู่กัน ซึ่งบางครั้งอาจจะรวมถึงลักษณะการเคลื่อนที่ของกล้องอีกด้วย
มุมกล้องเกิดจากความสัมพันธ์กันระหว่างระดับการตั้งกล้องภาพยนตร์กับวัตถุที่ถ่าย การเลือกใช้มุมกล้องในระดับต่างๆจะทำให้เกิดผลด้านภาพที่แตกต่างกันไป รวมถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้ชมที่จะแตกต่างกันออกไปด้วย
หากจะแบ่งมุมกล้องในระดับต่างๆโดยเริ่มจากระดับสูงก่อนสามารถแบ่งได้ดังนี้

1. มุมกล้องระดับสายตานก (Bird's eye view)

เป็นการตั้งกล้องในระดับเหนือศีรษะหรือเหนือวัตถุที่ถ่าย ภาพที่ถูกบันทึก
จะเหมือนกับภาพที่นกมองลงมาด้านล่าง เมื่อผู้ชมเห็น ภาพแบบนี้จะทำ
ให้ดูเหมือนกำลังเฝ้ามองเหตุการณ์จากด้านบน มุมกล้องในลักษณะนี้
จะทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ช่วยเหลือ
ตัวเองไม่ได้ เวิ้งว้าง ไร้อำนาจ ตกอยู่ในภาวะคับขัน ไม่มีทางรอด
เพราะตามหลักความเป็นจริงแล้วมนุษย์เราจะเคยชินกับการยืน นั่ง นอน เดิน
หรือใช้ชีวิตส่วนใหญ่บนพื้นโลกมากกว่าที่จะเดินเหินยู่บนที่สูง และด้วยความ
ที่มุมภาพในระดับนี้ไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดในฉากได้ครบ
เพราะเป็นภาพที่มองตรงลงมา จึงทำให้ภาพรู้สึกลึกลับ น่ากลัว เหมาะกับ
เรื่องราวที่ยังไม่อยากเปิดเผยตัวละครหรือเป็นภาพยนตร์สยองขวัญ

2. มุมกล้องระดับสูง (Hight Angle)

ตำแหน่งของกล้องมุมมนี้จะอยู่สูงกว่าสิ่งที่ถ่าย การบันทึกภาพในลักษณะนี้
จะทำให้เห็นรายละเอียดของเหตุการณ์ทั้งด้านหน้าและด้านหลังเท่ากันโดย
ตลอด จึงทำให้ภาพในระดับนี้มีความสวยงามทางด้านศิลปะมากกว่าภาพใน
ระดับอื่น นอกจากนี้สิ่งที่ถูกถ่ายด้วยกล้องระดับนี้มักจะทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าสิ่งที่
ถ่ายมีความต่ำต้อย ไร้ค่า ไร้ความหมาย สิ้นหวัง ความพ่ายแพ้
3. มุมกล้องระดับสายตา (Eye Level)

มุมล้องในระดับนี้เป็นมุมกล้องในระดับสายตาคน ซึ่งเป็นการเลียนแบบมา
จากการมองเห็นของคน ซึ่งโดยส่วนใหญ่คนเราจะมองออกมาในระดับสายตา
ตัวเอง ทำให้ภาพที่ผู้ชมเห็นรู้สึกมีความเป็นกันเอง เสมอภาค และเหมือน
ตัวเองได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยแต่รายละเอียดของภาพในระดับนี้จะ
สามารถมองเห็นได้แต่ด้านหน้าเท่านั้น
4. มุมกล้องระดับต่ำ (Low Angle)

เป็นการตั้งกล้องในระดับที่ต่ำกว่าสิ่งที่ถ่าย เวลาบันภาพต้องเงยกล้องขึ้น
ภาพมุมต่ำนี้ก็มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของผู้ชมได้เช่นเดียวกัน
ซึ่งจะทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าสิ่งที่ายนั้นมีอำนาจ มีค่า น่าเกรงขาม มีความยิ่งใหญ่
ซึ่งจะตรงข้ามกับภาพมุมสูง นิยมถ่ายภาพโบราณสถาน สถาปัตยกรรม
แสดงถึงความสง่างาม ชัยชนะ และใช้เป็นการเน้นจุดสนใจของภาพได้ด้วย

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

The Postman (Il Postino) (1994) the power of words

The Postman (Il Postino) (1994) the power of words ....

metaphor [N] คำอุปมา, See also: คำเปรียบเทียบ

คือ Film ในดวงใจของเราอีกเรื่อง ที่พูดถึงเรื่องราวในชีวิตจริงของนักกวี นักกวีรางวัลโนเบลของประเทศชีลีที่ถูกเนรเทศทางการเมืองมาอยู่ที่อิตาลี และ มาริโอ้ บุรุษไปรสณีย์ เราดูแล้วปี่แตกเลยอะ ...ปี่แตกแบบตื้นตันใจ ทั้งที่ใน Film มันเต็มไปด้วย อมยิ้ม และอารมณ์ขันๆๆ ของนักแสดง

กับสิ่งเล็กๆๆน้อยๆๆใกล้ๆๆตัวของคนคนหนึ่ง ....มันจุดประกายให้ใครคนหนึ่งทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้ อาจจะมองดูเหมือนว่า มาริโอ้ไม่เอาถ่าน หนึ่งในเรื่องของความมีเหตุผลที่สำคัญที่สุดไม่ได้ถูกการประพันธ์บทกวี ....มันคือการจุดประกายเติมไฟในพละกำลังมากกว่า.... เราว่างะ

Il postino, trailer

มาริโอ้ ชายหนุ่มผู้อ่อนโยน กับรูปแบบในการดำเนินชีวิตบนเกาะที่พ่อของเค้าเป็ฯชาวประมง ในรูปแบบชีวิตที่ซ้ำซากและท่ามกลางชีวิตที่ขาดความเห็นอกเห็นใจที่อยู่บนเกาะที่อิตาลีอย่างเงียบๆ

และชีวิตของมาริโอ้ได้เปลี่ยนไป กับการมาถึง ของนักกวีชาวชิลี Pablo Neruda ซึ่งเค้าถูกเนรเทศทางการเมืองมาอยู่ที่อิตาลี

และเรื่องราวของความสัมพันธ์มิตรภาพของเพื่อนทั้งสองจึงเกิดขึ้นใน "The Postman" ("Il Postino")

มาริโอ้ อ่านออกเขียนได้เพียงเล็กน้อย ไปส่งไปรสณีย์ให้ปาโบ้ทุกวัน เพราะเค้าเป็นนักกวีแฟนคลับจากทั่วโลกส่งมาหาเค้าแทบทุกวัน

ที่ละเล็กที่ละน้อยที่มาริโอ้กับการซึมซับ.....ที่เข้าถึงบทกวีของบาโป

มาริโอ้ : metaphor มันคืออะไรครับ????

ปาโบ้ :When you talk something comparing it to another.

เมื่อคุณพูดในบางสิ่งและเปรียบเทียบกับอีกสิ่งหนึ่ง

มาริโอ้ : มันคือลูกเล่นที่คุณใช้ในบทกวีเหรอครับ???

ปาโบ้ : ใช่ ใช่ ยกตัวอย่างเช่น ตอนเธอพูดว่า ...ท้องฟ้าร่ำไห้หมายความว่าไง???

มาริโอ้ : แปลว่า ...ฝนตก ...

ปาโบ้ : ถูกต้อง เก่งม๊ากก..นั้นคือ metaphor อุปมาอุปมัย

มาริโอ้: นั้นก็ง่ายม๊ากเลยซิครับ

อ่ามาริโอ้สงสัยต่อ....ทำไมต้องเขียนให้มันซับซ้อนด้วยละครับ???

ปาโบ้ :Man has no bussiness with the simplicity or complexity or things.

เพราะคนเราสนใจสิ่งที่ซับซ้อนมากกว่า...สิ่งที่มันเรียบง่าย

The words went back and forth.

คำของคุณไหลไปมาได้....นี้แหละคือท่วงทำนอง rhythm.

อิตาลี มันคือที่พักชั่วคราวของปาโบ้ลี้ภัยทางการเมือง อารมณ์ของนักกวีในยามเช่นนี้นั้นคือ โรคคิดถึงบ้านเกิด Nostalghia กับการผ่อนคลายของปาโบ้ ใครจะไปรู้ได้ว่า ปราชญ์อย่างบาโป้หัวการเมืองฝ่ายซ้ายในชิลี ไปสนธนากับ บุรุษไปรสณีย์ทึ่มๆๆ คนหนึ่ง ที่มาริโอ้มองดูบาโป้เหมือนกะเป็ฯพระเจ้า จุดประกายการหัดแต่งบทกวีของเค้า

กับบางครั้ง บาโป้ถึงกับถามมาริโอ้ว่า....แห (ที่ใช้จับปลาหมายถึงอะไร) มาริโอ้ตอบไปว่า แหที่บ้านผมเป็นชาวประมงหมายถึง...ความโศกเศร้า...บาโป้ได้ไอเดียในงานเขียนทันที

มาริโอ้กะมีลูกบ้าของเค้าเหมือนกัน ที่ถ่ายทอดออกมาเป็ฯบทกวี เค้าไปปรึกษา ปาโบ้

ขอให้ปาโบ้เขียนบทกวีจีบหญิงให้เค้า...แต่ปาโบ้ปฎิเสธ สอนมาริโอ้ไปว่า

กวีต้องรู้จักสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจก่อน ...ฉันสร้างงานจากความว่างเปล่าไม่ได้

มาริโอ้ตกหลุมรักสาวชื่อ เบียร์ทริ๊ก Beatrice, ซึ่งนักกวี ดังเต้ Dante Alighieri.ตกหลุมรักหญิงงามชื่อ เบียร์ทริ๊ก เธอเป็นแรงบันดาลใจให้ความรัก

มาริโอ้ส่งบทกวี จีบเบียร์ทริ๊ก ...มันถึงทำให้เบียร์ทริ๊กถึงกับอ่อนไหว ป้าของเบียร์ทริ๊กสังเกตเห็น

เค้าพูดอะไรกับหลาน....metaphor อุปมาอุปมัย เค้าบอกหนูว่า

รอยยิ้มของหนูเบิกบานเหมือนกับผีเสื้อบิน

ยามที่เธอหัวเราะเสมือนกุหลาบเบ่งบาน

ท้องฟ้าผ่า แผ่นดินแยก ทำสายน้ำสะเทิ้นไหว

รอยยิ้มของเธอประดุจคลื่นคงคาสีเงิน

หลานอึ๊งไปเลยละค่ะ..........

บุรุษไปรสณีย์มือไวปากไวไว้ใจพวกมันไม่ได้หรอก...เค้าไม่ได้แตะต้องหนูเลยค่ะ...เค้าบอกว่าเป็นสุขม๊ากที่ได้อยู่ใกล้สาวน้อยผู้ผุดผ่องเหมือนอยู่บนทรายหาดคลื่นขาว

หลานบ้าแค่นี้ก็พอแล้วววว.....ถ้าผู้ชายใช้วาจาเล้าโลมได้ มันก็ใช้มือเล้าโลมได้เช่นกัน

คำพูดนี้แหละหน้ากลัวมากกว่าอะไรซ๊ะอีก ...ไอ้ขี้เมาหยิกแก้มก้นหลานยังดีกว่าไอ้ที่ใช้คำพูดรอยยิ้มเบิกบานเหมือนผีเสื้อระริกระรี้นี่แหละ

และบทกวีที่มาริโอ้ส่งให้เบียร์ทริ๊กฉบับต่อไป..ป้าเบียร์ทริ๊กแย่งมาและเอาไปฟ้องบาทหลวงคุณพ่อที่โบส์ถ ...บาทหลวงคุณพ่อบอกว่า ...นี้มันบทกวี

ป้าเบียร์ทริ๊ก คราวนี้ไปโวยวายกะปาโบ้ต่อ....ปาโบ้อ่านบทกวีบอกว่า...ไพเราะม๊ากก

ป้าเบียร์ทริ๊กบอกปาโบ้ว่า:คุณไปบอกลูกศิษย์ของคุณอย่ามาพบกับหลานสาวชั้นอีก ไม่งั้นต้องข้ามศพชั้นไปก่อน...ขืนไปเจ๋ออีกละก้อ ...ชั้นจะเอาปืนส่องมันเลย

และชื่อเบียร์ทริ๊ก มันก็คือบทกวีของ Gabriele D'Annunzio ด้วยเช่นกัน

และในที่สุดมาริโอ้ก็ได้แต่งงานกับเบียร์ทริ๊ก

ปัญหามันมีอยู่ว่า บาทหลวงคุณพ่อไม่อนุญาติให้ปาโบ้เป็ฯสักขีในสักขีพยานในพิธีแต่งงานของเค้าทั้งสอง เพราะว่า ปาโบ้คือคอมมิวนิตย์..มาริโอ้เถียงไปว่า ปาโบ้ก็เป็นคาทอลิกเช่นกัน นั้นคุณพ่อเห็นมั๊ย ปาโบ้มานั่งคุกเข่าเฝ้าศีลในโบส์ถ

มันเป็นคำพูดของพ่อมาริโอ้ที่พูดได้ยาวที่สุด เพราะว่า พ่อของมาริโอ้เป็นคนไม่ค่อยพูดอะไรเลย...และข่าวดีของปาโบ้เค้าได้รับอนุญาติให้กลับไปประเทศชิลีได้ มันคือความยินดีอย่างสุดยอดของเค้าแล้ว ไม่มีที่ใหนจะยิ่งใหญ่ไปกว่าบ้านเกิดเมืองนอนของตน

ปาโบ้: ในประเทศชั้นบ้านเมืองมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงบ่อยๆ ...วันนี้พวกเค้าต้องการให้ชั้นกลับ

...แต่พรุ่งนี้ถ้าเหตุการณ์ผันผวน ...ชั้นคงถูกไล่บินหนีมาอีก

และปาโบ้ทิ้งข้าวของบางส่วนไว้ที่อิตาลี ให้มาริโอ้ช่วยดูแล

หนึ่งปีผ่านไป ผู้คนในหมู่บ้านได้ยินข่าวคราวของปาโบ้ทางหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศสตอนที่เค้าโดนเนรเทศไปอยู่อิตาลี ...มันทำให้ทุกคนในหมู่บ้านรวมทั้งป้าของเบียร์ทริ๊กถึงกับบ่นออกไปว่า...ดูสิ เค้าลืมเราไปแล้ว ปาโบ้ไม่พูดถึงพวกเราซักคำ

มาริโอ้กะบอกว่า...ไม่หรอกเค้าเป็นนักกวี เค้าพูดเป็นกลางๆๆ

และมาริโอ้ได้รับจดหมายจาปาโบ้...นั้นคือ ขอให้มาริโอ้เก็บข้าวของที่เหลืออยู่ในอิตาลีส่งไปให้เค้า

มาริโอ้ ได้อัดเทป เสียงบรรยากาศรอบๆๆเกาะไปให้ปาโบ้ รวมทั้งเสียงของลูกมาริโอ้ที่อยู่ในท้อง

หลายปีผ่านไป

ปาโบ้กลับมาที่อิตาลีอีกครั้ง.........

ปาโบ้เจอเบียร์ทริ๊ก...และลูกชายของมาริโอ้.....

มาริโอ้ได้สิ้นใจแล้ว...เค้าไปอ่านบทกวีที่จตุรัส และถูกทหารฆ่าตาย

Film ตัดไปที่การชุมนุมของชนชั้นชาวนา เกษตรกรรม ที่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม

...มาริโอ้ เป็ฯตัวแกนนำสำคัญในการเรียกร้องความไม่เป็นธรรมซึ่งมันยิ่งใหญ่ม๊ากกก....

Il Postino (scene 21)

Film จบลงด้วย บทกวี ที่ได้รับรางวัลโนเบล ของปาโบ้

Poetry Arrived

And it was at that age...Poetry arrived

และในช่วงชีวิตนั้น ชั้นได้พบความเป็นกวี

in search of me. I don't know, I don't know where

ชั้นไม่รู้และไม่รู้ว่ามันมาจากหนใด

it came from, from winter or a river.

จากฤดูเหมันต์ หรือธารน้ำไหล

I don't know how or when,

ชั้นไม่รู้ว่ามาเมื่อไหร่ หรืมาอย่างไร

no, they were not voices, they were not

words, nor silence,

เปล่าเลย มันไม่ได้มีเสียงพูด ไม่ได้มีวาจา หรือแม้แต่ความเงียบ

but from a street I was summoned,

หากแต่มาจาก ถนนที่ชั้นท่องไป

from the branches of night,

มาจากกิ่งก้านสาขาของราตรี

abruptly from the others,

แยกตัวออกมาจากสรรพสิ่ง

among violent fires

ท่ามกลางเปลวไฟอันโชติช่วง

or returning alone,

หรือการกลับมาของความเดียวดาย

there I was without a face

ณ ที่นั้นชั้นไร้ซึ่งหน้ากาก

and it touched me.

และมันเป็นกวีที่สัมผัสชั้น

- Pablo Neruda To OUR FRIEND MASSIMO

Nobel Prize For Literature Pablo Neruda (1971) Pablo Neruda Poems Poetry Arrived

Source: มีต่อยาว

http://www.poetseers.org/

nobel_prize_for_literature/

pablo_neruda_(1971)/pablop/poetry_arrived

งานกวีชิ้นอื่นๆของปาโบ้

http://www.lone-star.net/literature/

pablo/index.html

Film Set ในปี 1950 สถานที่คือ Salina Island ในอิตาลีอยู่ทางตอนเหนือของซิซิลี

Positano rises pyramid-like on the Amalfi Coast. The poet Neruda took political refuge here, and here the Postman found friendship with him. IMAGE: courtesy of Reviewer mcHAIKU.

The Postman (Il Postino): A Novel by Antonio Skármeta

เรื่องของ ปาโบ้ เรารู้น้อยม๊ากขอเอาบทความของ

นักเขียนไทย คุณประภัสสร เสวิกุล มาปะค่ะ

Source:http://www.psevikul.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=459320&Ntype=3

Pablo Neruda Documentary (Part 1 of 6)

มี 6 ตอนยาวดูต่อเอง

พาโบล เนรูด้า(Pablo Neruda) กวีเอกของชิลี เจ้าของรางวัลโนเบล สาขาวรรณศิลป์ประจำปี 1971 นอกจากฝากผลงานด้านวรรณกรรมอันทรงคุณค่าไว้แก่นักอ่านเป็นจำนวนมากแล้ว เนรูด้ายังฝากผลงานชิ้นสำคัญคือบ้านพักทั้ง 3 หลัง ไว้เป็นสมบัติของชาวชิลีด้วย ซึ่งทุกวันนี้บ้านทั้ง 3 หลังดังกล่าว ได้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งผู้ที่เดินทางมาเยือนชิลีต้องหาโอกาสแวะไปเยี่ยมเยียน

บ้านหลังแรกของเนรูด้า อยู่ที่ตำบลอิสลา นีกร้า (Isla Negra) หรือเกาะดำ ติดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1939 ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบ ห่างไกลจากชุมชน ทำให้เนรูด้าใช้เวลาในช่วงสุดท้ายของชีวิตกับการเฝ้ามองทะเลและเขียนบทกวีที่บ้านหลังนี้ แม้ว่าอิสลา นีกร้า จะสร้างให้กับภรรยาคนที่สอง คือเดยาเดล คาริน (Della del Caril) จิตรกรชาวอาร์เยนตินา แต่ชายหาดแห่งนี้ก็เป็นสถานที่ซึ่งฝังร่างของเขาและภรรยาคนที่สาม

บ้านหลังที่สองของกวีเอก คือบริเวณซัน คริสโตบัล (San Christobal) ซึ่งเป้นแหล่งชุมนุมของนักเขียน ศิลปิน และจิตรกร ของกรุงซันติอาโก และมีลักษณะภูมิประเทศคล้ายคลึงกับคาปรีในอิตาลี เนรูด้าสร้างบ้านหลังนี้ในปี 1953 เพื่อเป็นของขวัญแก่ภรรยาคนที่สาม คือมาทิลด้า อูรูเทีย (Matilda Urrutia) ซึ่งมีอายุอ่อนกว่าเขา 20 ปี และเคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่คาปรีเป้นเวลาหลายเดือน ภายหลังจากหย่าขาดจากภรรยาคนที่สอง ในปี 1955 เนรูด้าได้แต่งงานใหม่กับมาทิลด้าและพำนักอยู่ที่นี่ จนวาระสุดท้าย เนรูด้าตั้งชื่อบ้านหลังนี้ว่า ลา ชาสโคนา (La Chascona) ซึ่งหมายถึงลักษณะที่ยุ่งเหยิง เพื่อล้อเลียนเส้นผมที่หยิกของมาทิลด้า

มาทิลด้ารำลึกความทรงจำว่า ในเย็นวันหนึ่งที่เธอกับเนรูด้าเดินเล่นตามเนินเขาในบริเวณนี้ซึ่งขณะนั้นยังเป็นพงไพร สิ่งที่ทำให้เนรูด้าเกิดความประทับใจเป็นอย่างมากก็คือเสียงน้ำที่ไหลลงมาจากยอดเนิน และได้เขียนถึงความรู้สึกนี้ไว้ในบทกวีชื่อ ลา ชาสโคนาว่าสายน้ำที่รินไหลเขียนบทกวีอันไพเราะด้วยภาษาของมันเอง

บ้านหลังสุดท้าย อยู่ที่เมืองบาไพไรโซ ลงมือสร้างใน ค.ศ.1959 และแล้วเสร็จในปี 1961 ลักษณะเป็นบ้าน 4 ชั้น เนรูด้าตั้งชื่อบ้านหลังนี้ว่าเซบาสเตียนา (Sebastiana) เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่เซบาสเตียน คอยาโด ผู้เจ้าของโครงการก่อสร้าง ซึ่งเสียชีวิตก่อนที่จะทัได้เห็นผลงานของตนเป็นรูปเป็นร่างโดยสมบูรณ์ เนื่องจากบ้านหลังนี้มีขนาดใหญ่มาก เนรูด้าจึงชวนเพื่อนมาซื้อบ้านในส่วนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 แต่ในปี 1991 มูลนิธิพาโบล เนรูด้า ได้ซื้อทั้งสองส่วนคืนมา เพื่อจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ เมื่อมองออกไปจากบ้านจะเห็นท้องฟ้าอันสดใสของชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ดังเช่นที่เนรูด้าเขียนไว้ในบัตรเชิญเพื่อน ๆ มาร่วมงานขึ้นบ้านใหม่หลังนี้ว่า รายการอาหารประกอบด้วย เอมพานาดา (อาหารพื้นเมืองของชิลี เป็นแป้งแบบกระหรี่พั๊บใส่ไส่ชี้สหรือเนื้อสับ) ไวน์แดง และท้องฟ้าสีครามเซบาสเตียนาเคยได้รับผลกระทบ

จากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่บาพาไรโซในปี 1960 ซึ่งยังเหลือร่องรอยให้เห็นได้ในปัจจุบัน โดยเฉพาะบริเวณห้องครัวที่เนรูด้าเรียกว่าเป็นอาณาจักรส่วนตัวของมาทิลด้า

ความเป็นคนโรแมนติก และหลงใหลในเสน่ห์ของทะเล ทำให้เนรูด้าสร้างบ้านทุกหลังให้มีสภาพเหมือนเรือ ไม่ว่าจะเป็นพื้นไม้ เพดานที่ค่อนข้างเตี้ย พื้นที่ห้องต่าง ๆ ซึ่งค่อนข้างจะจำกัด หน้าต่างทรงกลม รวมถึงการตบแต่ง และเฟอร์นิเจอร์ สิ่งสำคัญในบ้านทั้งสามหลังก็คือสิ่งของต่าง ๆ ซึ่งเนรูด้าสะสมไว้เป็นจำนวนมากจากการทำงานและเดินทางไปในที่ต่าง ๆ ทั่วโลกกว่าค่อนชีวิต นับตั้งแต่เปลือกหอยนานาชนิด ซึ่งบางอันเป็นสิ่งที่หายากยิ่งในปัจจุบัน ตุ๊กตาไม้จากรัสเซีย รูปสลักของแอฟริกัน จนถึงพระพุทธรูปจากพม่าและทิเบตภาพเขียนของจิตรกรชั้นนำ รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์แปลก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือหัวเรือเดินทะเลในสมัยโบราณที่แกะสลักเป็นรูปต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่ในชีวิตจริงเนรูด้าว่ายน้ำไม่เป็น

ที่ ลา ชาสโคนา นอกจากเหล็กดัดอักษรย่อ MP ซึ่งมาจากชื่อของมาทิลด้าและพาโบล ตามหน้าต่างแล้ว ยังมีสัญญลักษณ์รูปพระอาทิตย์ดวงกลมมีรัศมีเป็นแฉก ๆ แทนผมหยิก ๆ ของมาทิลด้า ภายในบ้านจะมีรูปเขียนของมาทิลด้าจากฝีมือของเพื่อน ๆ จิตรกร ติดอยู่ทั่วไป

ภายหลังการรัฐประหารเพื่อโค่นล่มรัฐบาลฝ่ายซ้ายของประธานาธิบดีอัลเยนเด้ ในวันที่11 กันยายน 1973 เนรูด้าเก็บตัวอยู่ในลา ชาสโคนา ก่อนจะสิ้นชีวิตที่โรงพยาบาลซานตามารี ในกรุงซันติอาโก ในอีก 12 วันต่อมา ลา ชาสโคนา เผชิญกับการคุกคามของทหารและฝ่ายขวาจัด บ้านถูกค้นกระจุยกระจาย ข้าวของเสียหาย และผลงานส่วนหนึ่งของเขาถูกทำลายหรือโยนทิ้ง ทางระบายน้ำถูกอุดตันเพื่อปล่อยให้น้ำจากเนินเขาไหลลงมาท่วมบ้าน สายน้ำที่เคยรินไหลบทกวีอันไพเราะ ทำให้ ลา ชาสโคนา จมอยู่ในปลักโคลนเกือบ 20 ปี

หลังการสิ้นอำนาจของรัฐบาลเผด็จการทหาร มาทิลด้าได้ก่อตั้งมูลนิธิพาโบล เนรูด้า ขึ้น เพื่ออนุรักษ์บ้านพักของเนรูด้าทั้งสามหลัง รวมทั้งเก็บรักษาทรัพย์สมบัติส่วนตัวและของสะสมของสามี และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์แก่สาธารณชน

และแม้ว่าพาโบล เนรูด้า จะจากโลกนี้ไปกว่า 30 ปีแล้ว แต่ทุกซอกมุมของบ้านทั้งสามหลังของเขา ยังเต็มไปด้วยเรื่องราว เสี้ยวชีวิต และจิตวิญญาณ ที่ไม่มีวันสูญหายไปไหนเลย

ประภัสสร เสวิกุล

ซันติอาโก ชิลี, 9 เมษายน 2550

Source:http://www.gopfrettir.net/GiancarloGianazza/

myndir/DanteAlighieri.jpg

ดังเต อลิเกียรี (Dante Alighieri)

ดังเต อลิเกียรี ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1265 ที่เมืองฟลอเรนซ์ ในครอบครัวขุนนางต่ำศักดิ์ เมื่อมีอายุได้ยี่สิบปี ดังเตก็สมรสกับเกมมา โดนาติ และมีบุตรกับนางด้วยกันทั้งสิ้นสามคน ดังเตเข้าเรียนที่โบโลญญ่า มหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในช่วงวัยหนุ่ม ดังเตคบค้าสมาคมกับคีตกวีหรือศิลปินที่มีชื่อเสียงและอิทธิพล ณ เวลานั้นหลายคน ดังเตหลงรักเบียทริชสุภาพสตรีผู้สูงศักดิ์คนหนึ่ง กระทั่งเขาเขียนบทกลอนยาวและประพันธ์ Vita Nuova เพื่ออุทิศแด่เบียทริชหลังจากเธอเสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1290

ส่วนผลงานของเขาที่มีชื่อว่า Divina Commedia หรือ Divine Commedy นั้นประพันธ์ขึ้นเมื่อต้นศตวรรษที่ 14 คือหลังจากที่เขาได้ลี้ภัยทางการเมืองและไปศึกษาต่อที่ปารีส กระทั่งใช้ชีวิตในบั้นปลายของเขาในสถานกักกันรเวนนา ที่ซึ่งดังเตได้อุทิศเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตเพื่อเขียนผลงาน Divina Commedia จนเสร็จสมบูรณ์ ก่อนหน้าที่เขาจะสิ้นลมเพียงไม่นาน

Source:http://www.thaigoodview.com/node/12937

และชื่อเบียร์ทริ๊ก มันก็คือบทกวีของ Gabriele D'Annunzio ด้วยเช่นกัน

หนังสือ Guinness ได้บันทึกว่า Gabriele d' Annunzio คือบุคคลที่ได้เขียนจดหมายมากที่สุดในโลก เพราะตลอดชีวิตเขาได้เขียน จดหมายกว่า 1 แสนฉบับ และได้รับจดหมายตอบมากกว่า 1 ล้าน 5 แสนฉบับ