3.1 การวางแผนในการทำงาน
วิธีการทำงานให้เกิดความสุข ต้องรู้จักการวางแผนใน
การทำงานซึ่งหมายถึง การกำหนดแนวทางก่อนการทำงานทุกครั้ง
โดยคาดการณ์ล่วงหน้าว่าจะทำอะไร ทำทำไม ทำที่ไหน ทำเมื่อไร
อย่างไร และใครทำ และเราก็ปฏิบัติตาม งานก็จะสำเร็จ
คนทำงานเกิดความภูมิใจและมีความสุข การวางแผนใน
การทำงานที่ดีควรมีแนวทางตามขั้นตอนต่อไปนี้
ขั้นที่ 1 เราจะทำอะไร
เป็นการวางแผนการทำงาน ซึ่งหมายถึง การคิดและเลือกงาน
ตามความรู้ความสามารถในตัวเรา จะมีความสำคัญมากในงานอาชีพอิสระ
แต่ถ้าเป็นงานราชการก็อยู่ในขั้นการคิดโครงการ
ขั้นที่ 2 ทำไปทำไม
เมื่อเราคิดว่าจะทำอะไรแล้ว ต้องคิดต่อไปอีกว่าทำไปทำไม ก็หมายถึงการตั้งวัตถุประสงค์ในการทำงานว่า เราอยากได้อะไรเป็น
ผลตอบแทน ถ้าเป็นงานอาชีพต้องคิดถึงผลตอบแทนที่เป็นกำไรหรือ
ขาดทุนจะคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่
ขั้นที่ 3 ทำที่ไหน
เป็นการกำหนดสถานที่ในการทำงาน จะมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ในการทำงานที่เกี่ยวกับการค้าขาย โดยเฉพาะการเลือกที่ตั้งในการทำอาชีพอิสระ
อาชีพบริการ ถ้าเลือกที่ตั้งได้เหมาะสมก็จะมีลูกค้ามาใช้บริการมาก ทำให้กิจการ
นั้นมีผลกำไร
ขั้นที่ 4 ทำเวลาใด
เป็นการกำหนดเวลาในการทำงาน ซึ่งมีความสำคัญมาก เพราะเวลาจะช่วยให้เราทราบว่า เราจะทำอะไรในแต่ละวัน เดือน หรือตลอดปี
อาจจะกำหนดเป็นตารางปฏิบัติงาน ดังนี้
เลขที่
กิจกรรม
ระยะเวลา
1 2 3.....30
หมายเหตุ
ขั้นที่ 5 ทำอย่างไร
เป็นขั้นตอนในการวางแผนการทำงานให้ประสบความสำเร็จที่สำคัญที่สุด
คือ การวางแผน เพราะงานจะบรรลุเป้าหมายได้ต้องรู้วิธีการทำงาน
ซึ่งต้องอาศัยคุณสมบัติส่วนตัวของบุคคล 3 ประการ คือ
5.1 มีประสบการณ์ มีความรู้จริงในงานที่จะทำ ถ้าขาดสิ่งนี้จะทำงานไม่ได้เลย
5.2 มีความรู้สึกอยากทำงาน
5.3 มีความมุ่งมั่นในการทำงาน
ขั้นที่ 6 ให้ใครทำ
เป็นขั้นกำหนดบุคคลให้เหมาะสมกับงาน จะมีความสำคัญกับงานที่จะต้อง
ช่วยกันทำหลายคน เช่น งานราชการ งานโรงงาน หรืองานบริษัท
และงานอิสระอื่น ๆ ที่จะต้องทำงานร่วมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ในขั้นนี้ต้องคำนึง
ถึงความถนัด ความชอบ และความรู้ความสามารถของคนที่จะทำงาน
ขั้นที่ 7 ผลเป็นอย่างไร
เป็นขั้นสรุปผลการทำงานหรือประเมินผลการทำงาน
ซึ่งจะได้ตรวจสอบว่างานที่เราทำนั้นสำเร็จตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนด
ไว้ในขั้นที่ 2 หรือไม่
จากขั้นตอนในการวางแผนในการทำงานทั้ง 7 ขั้น ทุกขั้นตอนจะต้องคิด
หรือวางแผนก่อนการทำงาน เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น
ดังนั้น วิธีการทำงานให้เกิดความสุขก็คือ การเข้าใจวิธีการวางแผนในการทำงาน
งานก็จะประสบความสำเร็จ เมื่องานสำเร็จ คนทำงานก็มีความสุข
2.2 การสร้างทีมงาน
การทำงานเป็นทีมมักพบเห็นกันทั่วไป เริ่มตั้งแต่ภายในครอบครัว
หรือหน่วยงานรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ เอกชน ทีมงานที่มีประสิทธิภาพ
จะช่วยให้การดำเนินงานบรรลุไปตามเป้าหมายที่วางไว้ การสร้างทีมงาน
จึงหมายถึง การปรับปรุงความสัมพันธ์ต่าง ๆ ในการทำงาน
ให้ดีขึ้น ดังนั้น วิธีการทำงานให้เกิดความสุขจึงต้องรู้จัก
วิธีการสร้างทีมงาน ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1. สร้างความเข้าใจในเป้าหมายของงานที่จะทำร่วมกัน
2. เปิดเผยและจริงใจต่อกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีปัญหาและ
อุปสรรคที่จะต้องแก้ไขร่วมกัน
3. สมาชิกในทีมต้องช่วยกันสร้างเสริมทักษะความเชี่ยวชาญในงานที่จะทำร่วมกัน
4. การสนับสนุนให้สมาชิกในทีมงานได้เรียนรู้ที่จะรับฟังความคิดเห็นและข้อมูล
ข่าวสารของผู้อื่นอย่างตั้งใจ และให้เกียรติซึ่งกันและกัน
5. พัฒนาทักษะในการแก้ปัญหาร่วมกัน
6. สร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมากขึ้น เป็นการช่วยลดปัญหาความขัดแย้ง
7. ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในหมู่สมาชิกของทีมงาน
ลักษณะของทีมงานที่ดี
1. สมาชิกทุกคนเต็มใจที่จะผูกพันเพื่อให้เกิดความสำเร็จตาม
วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ร่วมกัน
2. สมาชิกในทีมงานมีความสัมพันธ์กันอย่างเปิดเผย ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา
กล้าเผชิญหน้าเพื่อแก้ปัญหาการทำงานร่วมกัน
3. สมาชิกในทีมงานช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เข้าใจความสัมพันธ์
ระหว่างงานของตนเองกับงานของผู้อื่น
4. สมาชิกในทีมงานอุทิศตนในการปฏิบัติงานให้เสร็จไปด้วยดี
การพัฒนาทีมงาน
การพัฒนาทีมงาน คือ ความพยายามเปลี่ยนแปลงทีมงานให้เป็น
ทีมที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะต้องดำเนินการอย่างมีระบบ แบ่งออกเป็น 5 ระยะ
ดังนี้
ระยะที่ 1 ระยะปรับตัว จะมีลักษณะดังนี้
1.1 สมาชิกไม่ไว้วางใจ ตัวใครตัวมัน
1.2 การสื่อสารไม่ทั่วถึง
1.3 จุดประสงค์ในการทำงานไม่เด่นชัด
1.4 การบริหารงานอยู่ส่วนกลาง
1.5 การปฏิบัติงานมีขั้นตอนมาก
1.6 สมาชิกไม่มีโอกาสเรียนรู้ความผิดพลาด
ระยะที่ 2 ระยะประลองกำลัง มีลักษณะดังนี้
2.1 หัวหน้าทีมรู้จักประเมินและหาทางพัฒนา
2.2 ทบทวนการทำงานของทีมและปรับปรุงพัฒนาให้ดีขึ้น
2.3 สมาชิกสนใจบรรยากาศในการทำงาน
2.4 มีการอภิปรายและแสดงความคิดเห็น
2.5 มีการประชุมมากขึ้น คิดมากขึ้น พูดน้อยลง
ระยะที่ 3 ระยะทดลอง จะมีลักษณะของทีมงานดังนี้
3.1 กฎเกณฑ์ต่าง ๆ จะถูกทบทวน
3.2 เข้าใจวัตถุประสงค์ของงานอย่างกระจ่างชัด
3.3 ภาคภูมิใจในการเป็นสมาชิกในทีมงาน
3.4 ห่วงใยความเป็นอยู่ของสมาชิก
3.5 การทำงานคำนึงถึงทรัพยากรที่มีอยู่
ระยะที่ 4 ระยะแสดงผลงาน มีลักษณะดังนี้
4.1 สมาชิกเต็มใจที่จะช่วยเหลือกันทำงาน
4.2 ทุกคนจะแสดงความสามารถพิเศษ
4.3 ปัญหาความขัดแย้งของทีมงานลดลง
4.4 ระดมกำลังความคิดความสามารถเต็มที่
4.5 หัวหน้าทีมงานต้องใช้ความสามารถในการประสานงานอย่างเต็มที่
ระยะที่ 5 ระยะสมบูรณ์ เป็นลักษณะของทีมงานที่สมบูรณ์แบบ มีลักษณะดังนี้
5.1 ความสัมพันธ์ในหมู่สมาชิกดีเยี่ยม
5.2 เปิดเผยความจริงใจซึ่งกันและกัน
5.3 รูปแบบของกลุ่มเป็นแบบไม่เป็นทางการ
5.4 สมาชิกยอมรับนับถือความสามารถของกลุ่ม
5.5 มีขวัญและกำลังใจดีเยี่ยม
5.6 ภูมิใจและพอใจในการทำงาน
2.3 การใช้เวลาให้เกิดคุณค่าต่อชีวิต
เวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่าสำหรับทุกคน การใช้เวลาให้เกิดคุณค่าต่อชีวิต จึงเป็นความจำเป็นพื้นฐานของมนุษย์ที่จะต้องทำงานแข่งกับเวลา
มนุษย์จึงมีข้อจำกัดในเรื่องของเวลา เพราะมนุษย์เกิดมาต้องตาย ดังนั้นบุคคลทุกคนควรใช้เวลาให้เกิดคุณค่าต่อชีวิตและสังคม ดังคำคมที่ว่า
“สายน้ำไม่รอท่า กาลเวลาไม่รอใคร” การทำงานให้มีความสุขต้องรู้จักวิธีการใช้เวลา
ให้เกิดคุณค่าต่อชีวิตและผลงาน ด้วยวิธีการดังนี้
1. การตรงต่อเวลา
เวลาเป็นเครื่องวัดความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการทำงาน
เพราะการมาทำงานตรงเวลา การทำงานเสร็จตามเวลาที่กำหนด
เป็นสิ่งที่ปรารถนาของทุกหน่วยงาน บุคคลที่ประสบความสำเร็จจะต้อง
เป็นบุคคลที่ตรงต่อเวลา การฝึกฝนตนเองให้เป็นคนตรงต่อเวลาจึงเป็น
สิ่งจำเป็นและมีค่าต่อชีวิต ควรใช้วิธีการดังนี้
1.1 สำรวจตนเองอยู่เสมอ
1.2 จัดทำตารางการทำงาน
1.3 บันทึกการนัดหมายงาน
1.4 สร้างสัญญาณและสิ่งเตือนใจ
1.5 มอบให้คนอื่นจัดการสำหรับบุคคลที่มีงานมากต้อง
ให้ผู้อื่นช่วยเหลือ เช่น ผู้บริหารหรือนักธุรกิจ
จะมีเลขาเป็นคนดูแลในเรื่องเวลาของการทำงาน
2. การใช้เวลาให้เกิดประโยชน์
เมื่อเวลามีน้อยจึงมีค่า การใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตและ
ผลงาน จึงถือเป็นความสุขและความสำเร็จในการทำงาน
ควรใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ ดังนี้
2.1 ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ต่องาน อาชีพของตนถือเป็น
สิ่งสำคัญที่สุด เพราะเกี่ยวพันกับการครองชีวิตในสังคม
ซึ่งบุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและการงาน จะเป็นผู้ที่อุทิศเวลา
ให้กับงานอาชีพของตนมากที่สุด
2.2 ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม มนุษย์เป็นสัตว์สังคมต้อง
อยู่ร่วมกันกับผู้อื่น จำเป็นต้องใช้เวลาพบปะสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงาน
เพื่อนบ้าน และญาติมิตร สังคมในชุมชนและชีวิตการทำงานจึงจะเกิดความสุข
2.3 การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง หมายถึง
เวลานอกเหนือจากการทำงานประจำ เช่น การทำงานบ้าน
งานสวน งานอดิเรกอื่น ๆ ตามความเหมาะสมของตน
จะทำให้ชีวิตมีค่าเพิ่มขึ้น
3. การประหยัดเวลา
เวลามีค่า ต้องรู้จักการจัดการกับเวลา ไม่ใช้เวลาให้เสียไป
โดยเปล่าประโยชน์ เพราะหลายคนต้องเสียเวลากับเรื่องที่ไร้สาระ
ทั้งจำเป็นและจำยอม จึงควรใช้วิธีการประหยัดเวลา ดังนี้
3.1 ลดขั้นตอนของการทำงานลง เลือกทำเฉพาะกิจกรรม
ที่เป็นสาระสำคัญของงาน
3.2 การกระจายงาน คือ การแบ่งงานหรือมอบความรับผิดชอบ
ให้หลายคนช่วยกัน ก็จะประหยัดเวลาได้ดี
3.3 การควบคุมงาน หมายถึงการกำกับดูแลและประสานงาน
ให้การทำงานดำเนินไปตามระยะเวลาที่กำหนด
3.4 การใช้เครื่องมือเทคโนโลยีสมัยใหม่ หมายถึง การใช้เครื่องมือ
ทุ่นแรงแทนแรงงานคนและสัตว์ ก็จะช่วยประหยัดเวลาได้มาก
จากสาระสำคัญของการใช้เวลาให้เกิดคุณค่าต่อชีวิต จะเห็นได้ว่าการทำงาน
ให้เกิดความสุข บุคคลต้องรู้จักการจัดการเวลาให้เกิดคุณค่าต่อชีวิตและสังคมให้มากที่สุด
โดยการตรงต่อเวลา การใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ และการรู้จักการจัดการเวลา
2.4 งานที่ตรงกับใจ
การทำงานให้เกิดความสุข ความสำเร็จ จะต้องเกิดจากการทำงาน
ที่ตรงกับใจหมายถึง งานที่มีใจรัก ตรงกับความรู้ความสามารถของแต่ละบุคคล
ดังนั้นวิธีการทำงานให้มีความสุข จะต้องเลือกทำงานที่เป็นเป้าหมายของชีวิต
งานที่เรามีความชอบ ความถนัดเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว คนเราจะทำงานให้ประสบ
ความสำเร็จ มีองค์ประกอบ 3 ประการ คือ
1. มีฝีมือในการทำงาน
2. รู้จักคิด
3. มีจิตใจรัก
จะเห็นได้ว่าองค์ประกอบทั้ง 3 ประการนี้จะแยกกันไม่ได้ กล่าวคือ คนที่มีฝีมือในการทำงานเพียงอย่างเดียว ไม่รู้จักคิดริเริ่มงานใหม่ ๆ
และไม่มีจิตใจรักในงานที่ทำแล้ว งานก็จะไม่ประสบผลสำเร็จ บุคคลที่เลือกงาน
หรือทำงานที่ตรงกับใจจะต้องมีฝีมือ รู้จักคิด มีจิตใจรัก
การทำงานก็จะมีความสุข ดังเช่นหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนา
ที่สอนให้คนทำงานได้สำเร็จ ที่เรียกว่า “อิทธิบาทสี่” มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ฉันทะ หมายถึง ความพอใจ รักใคร่ มีใจรักในงานที่จะทำ
2. วิริยะ หมายถึง ความขยันหมั่นเพียร มีความพยายามที่จะทำงานให้สำเร็จ
3. จิตตะ หมายถึง การมีจิตใจฝักใฝ่ มุ่งมั่นที่จะทำงานให้สำเร็จ
4. วิมังสา หมายถึง การตรวจสอบ ไตร่ตรองโดยใช้ปัญญา
งานก็จะประสบความสำเร็จ เป็นงานที่ตรงกับใจ
ลักษณะของงานที่ตรงกับใจ มีดังนี้
1. งานที่ตรงกับความรู้ ความสามารถของตนเอง
2. งานที่เป็นเป้าหมายหรือมุ่งหวังในชีวิต
3. งานที่ตนเองชอบ
4. งานที่ตนเองมีความถนัดและเชี่ยวชาญ
5. งานที่ทำแล้วเกิดความสบายใจ
6. งานที่ตนเองเป็นเจ้านาย
7. งานที่เกิดจากความรู้สึกนึกคิดของตนเอง
8. งานที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น
9. งานที่คนอื่นชื่นชมว่าเรามีความสามารถ
10. งานสุจริตและมีคุณค่าต่อตนเองและสังคม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น