ประกาศ!.......นิสิตที่เรียน กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และไปเข้าค่ายลูกเสือ รุ่นที่ 1 เนื่องจากทุกรุ่นที่เข้าค่ายต้องทำ "ทำเนียบรุ่นแต่ละรุ่น" ถ้าหากไม่ส่งอาจารย์จะไม่ออกเกรดให้ ภายในวันศุกร์หน้า
...นายแต่ละหมู่ (ผมรู้นะว่าเป็นเอกเทคโนหมดเลย) หรือว่าสมาชิกท่านไดก็ได้ที่ได้อ่านประกาศนะที่ FB นี้ กรุณาเอาชื่อ E-mail ของท่านมาฝากที่ข้อความของผมที่ FB เราจะส่งข้อมูลของหมู่ท่าน ให้ไปพิมพ์แล้วส่งกลับที่เมลล์ผม (เราจะส่งรายละเอียดไปให้ในเมลล์) และเก็บตังคนละ 5 บาทด้วย ...ด่วนที่สุดครับ ใครที่กำลังออนอยู่และได้ไปเข้าค่ายก็รีบส่งมานะครับ เพราะมันมีผลต่อตัวทุกคนเองและผมด้วย เกรดไม่ออกไม่รู้ด้วยเด้อ ......ประธานรุ่นที่ 1
วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553
เนื้อเรื่อง ย่อๆ หนังสั้น เรื่อง เหรียญ 10 บาท
เนื้อเรื่อง ย่อๆ หนังสั้น เรื่อง เหรียญ 10 บาท
ฉันนั่งมองเหรียญ 10 บาทในมือ
หมุนมันไปมาทบทวนเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นกับมัน
เจ้าเหรียญน้อยเกือบไปอยู่ในมือ ผู้หญิงร่างเล็ก ขาพิการ
ที่ต้องใช้ไม้ค้ำ เดินแบมือขอเงินคนแถวนี้ พร้อมกับภาษาพูดไม่ชัด
ซึ่งจับใจความได้ว่า " ขอเงินหน่อย "
ฉันเกือบหย่อนเหรียญลงไปในมือแล้ว
ถ้าไม่เจอ แกนั่งดูดบุหรี่ก้นกรอก ควันฉุย
พ่นควันเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ อย่างสบายใจ ตอนคนไม่มี
โดยหารู้ไม่ว่า มีใครคนนึงกำลังจะเอาเงินมาให้
พอหมดบุหรี่ แกก็ลุกขึ้น เดินไปขอตังคนแถวนี้ต่อ
เจ้าเหรียญ 10 ยังคงอยู่
มันก็เกือบไปอยู่ในขันพลาสติกใบหนึ่ง
ที่ขอทานชาย ผู้ซึ่งนอนราบกับพื้น
เอามืออีกข้างเกาะพื้นแล้ว กระเสือกกระสน
เพื่อให้ไปข้างหน้าได้
เป็นที่น่าสงสารแก่คนที่ผ่านไปมา
ฉันยืนลังเล อยู่พักใหญ่ เดินตามไปห่างๆ
ตั้งใจแน่วแน่ว่า จะเอาใส่ขันใบนั้น
แต่.......
พอลับตาคน ชายร่างพิการขาขาดข้างนึง
ข้างที่มีแผลสดๆ แมลงวันตอม
เสื้อผ้ามอมแม ขาดรุ่งริ่ง
กลับ รื้อกองถุงพลาสติกใบใหญ่
รื้อเอาเสื้อผ้าที่ซ่อนไว้ เอาขาเทียม
เอากระเป๋าผ้า มาใส่เศษเงิน แล้วบ่นว่า
" แม่ง ได้น้อยชิบหาย "
หลังจากเปลี่ยนเสร็จ ก็ลุกขึ้น เดินไปถนน โบกแท๊กซี่จากไป
ปล่อยให้ คนใจบุญอย่างผม ยืนอึ้ง
คนใจบุญหลายคนยังขึ้นรถเมล์กลับเลย
เจ้าเหรียญ 10 บาท ยังคงหมุนอยู่ในมือผมอีกครั้ง
มันเกือบไปอยู่ในกล่องไม้สีดำใบนึง
ที่มีผู้หญิงผู้ชายกลุ่มหนึ่ง ในชุดเจ้าหน้าที่มูลนิธิแห่งหนึ่ง
เขียนด้วยตัวอักษรภาษจีน ดูคล้ายแมลงสาป
เดินเข้ามาหาฉันแล้วถามว่า
" ทำบุญโลงศพ เสริมดวง เพิ่มวันไหมครับ "
ฉันยิ้มแล้วตอบไปว่า
" ไม่ละ ทุกวันนี้ฉันก็อยากตายอยู่แล้ว "
ชายผู้นั้น ทำสีหน้าไม่พอใจ บ่นแลวจากไป
ฉันมองเหรียญ 10 อีกครั้ง หมุนมันต่อไป
บางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวตรงหน้า
ทำให้ฉันตัดสินใจบางอย่างลงไป
ฉันเดินไปซื้อน้ำขวดใส
ยื่นเหรียญ 10 ให้แม่ค้าหน้าใส
ที่ยื่นน้ำพร้อมคำหวานๆว่า ขอบคุณค่ะ
ฉันยิ้มตอบ รับน้ำพร้อมหยิบหลอด 2 หลอด
เดินไปที่เด็ก 2 คน
ฉันยื่นน้ำให้แล้วบอกว่า " เอาน้องน้ำ กินซะ แล้วขวดพี่ให้ "
เจ้าหนูมองหน้าฉันอย่างสงสัย
แต่ก็รับน้ำ พร้อมยกมือไหว้ขอบคุณ
แล้วเดินจากไป
ฉันยืนมองเจ้าหนูทั้ง 2 คน ที่กำลังแบกถุงปุ๋ย
ที่บรรจุขวดพลาสติกเปล่าด้วยใจเบิกบาน
อย่างน้อยๆเจ้าหนู 2 คนนี้ ไม่ร้องขอเงินทองจากใคร
แต่ เลือกที่จะเอาสิ่งที่คนอื่นไม่ต้องการ ไปเป็นเงินให้ตนเอง
และ อย่างน้อยๆ เด็ก 2 คนนี้ก็ได้ช่วยคนอีกหลายคนในการคัดแยกขยะ
ฉันยิ้มอีกครั้ง อย่างน้อยๆ 10 บาทที่ฉันเสียไปมันคุ้มค่าจริงๆ
“เค้าโครงเรื่องมาจาก ธรรมะสวัสดี”
ฉันนั่งมองเหรียญ 10 บาทในมือ
หมุนมันไปมาทบทวนเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นกับมัน
เจ้าเหรียญน้อยเกือบไปอยู่ในมือ ผู้หญิงร่างเล็ก ขาพิการ
ที่ต้องใช้ไม้ค้ำ เดินแบมือขอเงินคนแถวนี้ พร้อมกับภาษาพูดไม่ชัด
ซึ่งจับใจความได้ว่า " ขอเงินหน่อย "
ฉันเกือบหย่อนเหรียญลงไปในมือแล้ว
ถ้าไม่เจอ แกนั่งดูดบุหรี่ก้นกรอก ควันฉุย
พ่นควันเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ อย่างสบายใจ ตอนคนไม่มี
โดยหารู้ไม่ว่า มีใครคนนึงกำลังจะเอาเงินมาให้
พอหมดบุหรี่ แกก็ลุกขึ้น เดินไปขอตังคนแถวนี้ต่อ
เจ้าเหรียญ 10 ยังคงอยู่
มันก็เกือบไปอยู่ในขันพลาสติกใบหนึ่ง
ที่ขอทานชาย ผู้ซึ่งนอนราบกับพื้น
เอามืออีกข้างเกาะพื้นแล้ว กระเสือกกระสน
เพื่อให้ไปข้างหน้าได้
เป็นที่น่าสงสารแก่คนที่ผ่านไปมา
ฉันยืนลังเล อยู่พักใหญ่ เดินตามไปห่างๆ
ตั้งใจแน่วแน่ว่า จะเอาใส่ขันใบนั้น
แต่.......
พอลับตาคน ชายร่างพิการขาขาดข้างนึง
ข้างที่มีแผลสดๆ แมลงวันตอม
เสื้อผ้ามอมแม ขาดรุ่งริ่ง
กลับ รื้อกองถุงพลาสติกใบใหญ่
รื้อเอาเสื้อผ้าที่ซ่อนไว้ เอาขาเทียม
เอากระเป๋าผ้า มาใส่เศษเงิน แล้วบ่นว่า
" แม่ง ได้น้อยชิบหาย "
หลังจากเปลี่ยนเสร็จ ก็ลุกขึ้น เดินไปถนน โบกแท๊กซี่จากไป
ปล่อยให้ คนใจบุญอย่างผม ยืนอึ้ง
คนใจบุญหลายคนยังขึ้นรถเมล์กลับเลย
เจ้าเหรียญ 10 บาท ยังคงหมุนอยู่ในมือผมอีกครั้ง
มันเกือบไปอยู่ในกล่องไม้สีดำใบนึง
ที่มีผู้หญิงผู้ชายกลุ่มหนึ่ง ในชุดเจ้าหน้าที่มูลนิธิแห่งหนึ่ง
เขียนด้วยตัวอักษรภาษจีน ดูคล้ายแมลงสาป
เดินเข้ามาหาฉันแล้วถามว่า
" ทำบุญโลงศพ เสริมดวง เพิ่มวันไหมครับ "
ฉันยิ้มแล้วตอบไปว่า
" ไม่ละ ทุกวันนี้ฉันก็อยากตายอยู่แล้ว "
ชายผู้นั้น ทำสีหน้าไม่พอใจ บ่นแลวจากไป
ฉันมองเหรียญ 10 อีกครั้ง หมุนมันต่อไป
บางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวตรงหน้า
ทำให้ฉันตัดสินใจบางอย่างลงไป
ฉันเดินไปซื้อน้ำขวดใส
ยื่นเหรียญ 10 ให้แม่ค้าหน้าใส
ที่ยื่นน้ำพร้อมคำหวานๆว่า ขอบคุณค่ะ
ฉันยิ้มตอบ รับน้ำพร้อมหยิบหลอด 2 หลอด
เดินไปที่เด็ก 2 คน
ฉันยื่นน้ำให้แล้วบอกว่า " เอาน้องน้ำ กินซะ แล้วขวดพี่ให้ "
เจ้าหนูมองหน้าฉันอย่างสงสัย
แต่ก็รับน้ำ พร้อมยกมือไหว้ขอบคุณ
แล้วเดินจากไป
ฉันยืนมองเจ้าหนูทั้ง 2 คน ที่กำลังแบกถุงปุ๋ย
ที่บรรจุขวดพลาสติกเปล่าด้วยใจเบิกบาน
อย่างน้อยๆเจ้าหนู 2 คนนี้ ไม่ร้องขอเงินทองจากใคร
แต่ เลือกที่จะเอาสิ่งที่คนอื่นไม่ต้องการ ไปเป็นเงินให้ตนเอง
และ อย่างน้อยๆ เด็ก 2 คนนี้ก็ได้ช่วยคนอีกหลายคนในการคัดแยกขยะ
ฉันยิ้มอีกครั้ง อย่างน้อยๆ 10 บาทที่ฉันเสียไปมันคุ้มค่าจริงๆ
“เค้าโครงเรื่องมาจาก ธรรมะสวัสดี”
วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553
การพัฒนาตนเอง
การพัฒนาตนเอง
วันนี้พูดถึงเรื่อง ความตรงต่อเวลานะครับ
ผู้ที่ทำอะไรตรงต่อเวลา ผู้ที่มาติดต่อก็ชื่นชม และไม่เสียเวลารอคอย แสดงอุปนิสัยที่ดี และความมีมารยาท แสดงถึงความมีกำลังใจและความเคร่งครัดต่อระเบียบ
ไม่ต้องบอกนะครับว่าความตรงต่อเวลาหมายถึงอะไร งั้นผมจะพูดถึงประเภท ของการตรงต่อเวลา
1.ตรงต่อเวลาเข้าทำงาน และเลิกทำงาน
2.ตรงต่อเวลาเมื่อมีการนัดหมาย
3.ตรงต่อเวลาตามแผนงานที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
4.ตรงต่อเวลาที่ตั้งใจสำหรับตัวเอง
การตรงต่อเวลาเป็นการแสดงถึงวินัย การบังคับตัวเอง ความไม่ประมาณและเฉื่อยชา
การตรงต่อเวลายังแสดงถึงอารยธรรมที่เจริญแล้ว
เหตุที่ทำให้เป็นคนไม่ตรงต่อเวลา มัดังนี้
1.ชอบผัดเวลา การทำเช่นนี้บ่อย จะทำให้เสียนิสัยและทำให้เกียจค้านแล้วก็ทำอะไรล่าช้า ไม่ทัน การในที่สุด
2.ไม่เตรียมตัวให้พร้อม เฉื่อยชา
3.ประมาท เห็นว่ายังมีเวลาเหลือ ก็มัวทำอะไรจับจดอยู่
4.นิสัยที่ไม่เคารพต่อระเบียบหรือไม่เกรงใจคนอื่น ไม่แคร์ว่าคนอื่นจะต้องคอยเราอย่างไร
ส่วนการฝึกให้เป็นคนตรงต่อเวลาก็คือ
1.ทำอะไรต้องกระตือรือร้น ทำทันทีไม่ผัดเวลา
2.เตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ
3.ความไม่ประมาทไม่ทำอะไรจับจด
4.ฝึกเคารพกฏระเบียบและหัดเกรงใจผู้อื่น
ต่ออีกหัวข้อ นะครับ ความเป็นผู้มีความขยันขันแข็ง
คนที่มีนิสัยขยันขันแข็งย่อยจะเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงาน ผู้บังคับบัญชา และต่อผู้พบเห็น
ผมขอยกแนวทางนะครับ ไว้เป็นอุบายในการเปลี่ยนนิสัยจากความเกียจคร้าน เป็นคนขยันนะครับ
1.อย่าทำงานหักโหมหรือใจร้อน
2.ปลูกความรักและความสนใจในงาน
3.อย่าย่อท้อต่ออุปสรรค
4.ทำทีละก้าวแต่สม่ำเสมอ
5.รู้จักบังคับใจตนเอง ไม่ปล่อยตัวตามสบาย
6.อย่าเป็นคนโลเล
7.เป็นคนรู้จักคุณค่าของเวลา ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์
8.อย่าวิตกกังวลในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
9.มีสมาธิในการทำงาน
10.ฝึกเป็นคนที่มีนิสัย ชอบทำเดี๋ยวนี้
11.มีขวัญและกำลังใจในการทำงาน
12.ฝึกให้เป็นคนมีความกระตือรือร้น
ขอยกหลักศาสนามาพูดหน่อยนะครับ นั้น คือ อิทธิบาท 4 ยึดเป็นแนวทางได้นะครับ
1.ฉันทะ มีความรักในงาน
2.วิริยะ มีความเพียร
3.จิตตะ เอาใจใส่ในงาน
4.วิมังสา ไตร่ตรอง ใคร่ครวญในผลงาน
คนไทยเรานี้มีทัศนะคติที่ผิด ๆ บางประการอยู่นั้นก็คือ '' การนั่งกินนอนกิน โดยไม่ต้องทำงาน ถือว่าเป็นผู้มีบุญกุศล '' แท้จริงแล้วคนที่นั่งกิน นอนกิน นั้นเป็นผู้กินบุญเก่า ถ้าบุญเก่าหมด
แล้วเขาจะตกอยู่ในฐานะที่ลำบากมากที่เดียวเพราะเขาไม่ทำงาน และทำอะไรไม่เป็น
ความเข้าใจผิดอีกเรื่องก็คือ '' ความสันโดษ '' ท่านไม่ได้สอนว่าความสันโดษ คือ ความเกียจ
คร้าน แต่สอนว่าให้เราพอใจในสิ่งที่เรามี เราหามาได้ โดยสุจริต ฉะนั้น เราจึงต้องทำงานหาราย
ได้เพื่อที่เราจะได้มีกินมีใช้ ไม่ต้องเดือดร้อน หรือไปเบียดเบียนผู้อืน
ลองอ่านดูนะครับ คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับทุก ๆ คน ลองเอาไปปรับใช้นะครับ
***ข้อมูลจาก หนังสือเรื่องการพัฒนาตนเอง ผู้เขียน คุณ สมิต อาชวนิจกุล ***
วันนี้พูดถึงเรื่อง ความตรงต่อเวลานะครับ
ผู้ที่ทำอะไรตรงต่อเวลา ผู้ที่มาติดต่อก็ชื่นชม และไม่เสียเวลารอคอย แสดงอุปนิสัยที่ดี และความมีมารยาท แสดงถึงความมีกำลังใจและความเคร่งครัดต่อระเบียบ
ไม่ต้องบอกนะครับว่าความตรงต่อเวลาหมายถึงอะไร งั้นผมจะพูดถึงประเภท ของการตรงต่อเวลา
1.ตรงต่อเวลาเข้าทำงาน และเลิกทำงาน
2.ตรงต่อเวลาเมื่อมีการนัดหมาย
3.ตรงต่อเวลาตามแผนงานที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
4.ตรงต่อเวลาที่ตั้งใจสำหรับตัวเอง
การตรงต่อเวลาเป็นการแสดงถึงวินัย การบังคับตัวเอง ความไม่ประมาณและเฉื่อยชา
การตรงต่อเวลายังแสดงถึงอารยธรรมที่เจริญแล้ว
เหตุที่ทำให้เป็นคนไม่ตรงต่อเวลา มัดังนี้
1.ชอบผัดเวลา การทำเช่นนี้บ่อย จะทำให้เสียนิสัยและทำให้เกียจค้านแล้วก็ทำอะไรล่าช้า ไม่ทัน การในที่สุด
2.ไม่เตรียมตัวให้พร้อม เฉื่อยชา
3.ประมาท เห็นว่ายังมีเวลาเหลือ ก็มัวทำอะไรจับจดอยู่
4.นิสัยที่ไม่เคารพต่อระเบียบหรือไม่เกรงใจคนอื่น ไม่แคร์ว่าคนอื่นจะต้องคอยเราอย่างไร
ส่วนการฝึกให้เป็นคนตรงต่อเวลาก็คือ
1.ทำอะไรต้องกระตือรือร้น ทำทันทีไม่ผัดเวลา
2.เตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ
3.ความไม่ประมาทไม่ทำอะไรจับจด
4.ฝึกเคารพกฏระเบียบและหัดเกรงใจผู้อื่น
ต่ออีกหัวข้อ นะครับ ความเป็นผู้มีความขยันขันแข็ง
คนที่มีนิสัยขยันขันแข็งย่อยจะเป็นที่รักของเพื่อนร่วมงาน ผู้บังคับบัญชา และต่อผู้พบเห็น
ผมขอยกแนวทางนะครับ ไว้เป็นอุบายในการเปลี่ยนนิสัยจากความเกียจคร้าน เป็นคนขยันนะครับ
1.อย่าทำงานหักโหมหรือใจร้อน
2.ปลูกความรักและความสนใจในงาน
3.อย่าย่อท้อต่ออุปสรรค
4.ทำทีละก้าวแต่สม่ำเสมอ
5.รู้จักบังคับใจตนเอง ไม่ปล่อยตัวตามสบาย
6.อย่าเป็นคนโลเล
7.เป็นคนรู้จักคุณค่าของเวลา ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์
8.อย่าวิตกกังวลในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
9.มีสมาธิในการทำงาน
10.ฝึกเป็นคนที่มีนิสัย ชอบทำเดี๋ยวนี้
11.มีขวัญและกำลังใจในการทำงาน
12.ฝึกให้เป็นคนมีความกระตือรือร้น
ขอยกหลักศาสนามาพูดหน่อยนะครับ นั้น คือ อิทธิบาท 4 ยึดเป็นแนวทางได้นะครับ
1.ฉันทะ มีความรักในงาน
2.วิริยะ มีความเพียร
3.จิตตะ เอาใจใส่ในงาน
4.วิมังสา ไตร่ตรอง ใคร่ครวญในผลงาน
คนไทยเรานี้มีทัศนะคติที่ผิด ๆ บางประการอยู่นั้นก็คือ '' การนั่งกินนอนกิน โดยไม่ต้องทำงาน ถือว่าเป็นผู้มีบุญกุศล '' แท้จริงแล้วคนที่นั่งกิน นอนกิน นั้นเป็นผู้กินบุญเก่า ถ้าบุญเก่าหมด
แล้วเขาจะตกอยู่ในฐานะที่ลำบากมากที่เดียวเพราะเขาไม่ทำงาน และทำอะไรไม่เป็น
ความเข้าใจผิดอีกเรื่องก็คือ '' ความสันโดษ '' ท่านไม่ได้สอนว่าความสันโดษ คือ ความเกียจ
คร้าน แต่สอนว่าให้เราพอใจในสิ่งที่เรามี เราหามาได้ โดยสุจริต ฉะนั้น เราจึงต้องทำงานหาราย
ได้เพื่อที่เราจะได้มีกินมีใช้ ไม่ต้องเดือดร้อน หรือไปเบียดเบียนผู้อืน
ลองอ่านดูนะครับ คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับทุก ๆ คน ลองเอาไปปรับใช้นะครับ
***ข้อมูลจาก หนังสือเรื่องการพัฒนาตนเอง ผู้เขียน คุณ สมิต อาชวนิจกุล ***
วิธีการทำงานให้เกิดความสุข
3.1 การวางแผนในการทำงาน
วิธีการทำงานให้เกิดความสุข ต้องรู้จักการวางแผนใน
การทำงานซึ่งหมายถึง การกำหนดแนวทางก่อนการทำงานทุกครั้ง
โดยคาดการณ์ล่วงหน้าว่าจะทำอะไร ทำทำไม ทำที่ไหน ทำเมื่อไร
อย่างไร และใครทำ และเราก็ปฏิบัติตาม งานก็จะสำเร็จ
คนทำงานเกิดความภูมิใจและมีความสุข การวางแผนใน
การทำงานที่ดีควรมีแนวทางตามขั้นตอนต่อไปนี้
ขั้นที่ 1 เราจะทำอะไร
เป็นการวางแผนการทำงาน ซึ่งหมายถึง การคิดและเลือกงาน
ตามความรู้ความสามารถในตัวเรา จะมีความสำคัญมากในงานอาชีพอิสระ
แต่ถ้าเป็นงานราชการก็อยู่ในขั้นการคิดโครงการ
ขั้นที่ 2 ทำไปทำไม
เมื่อเราคิดว่าจะทำอะไรแล้ว ต้องคิดต่อไปอีกว่าทำไปทำไม ก็หมายถึงการตั้งวัตถุประสงค์ในการทำงานว่า เราอยากได้อะไรเป็น
ผลตอบแทน ถ้าเป็นงานอาชีพต้องคิดถึงผลตอบแทนที่เป็นกำไรหรือ
ขาดทุนจะคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่
ขั้นที่ 3 ทำที่ไหน
เป็นการกำหนดสถานที่ในการทำงาน จะมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ในการทำงานที่เกี่ยวกับการค้าขาย โดยเฉพาะการเลือกที่ตั้งในการทำอาชีพอิสระ
อาชีพบริการ ถ้าเลือกที่ตั้งได้เหมาะสมก็จะมีลูกค้ามาใช้บริการมาก ทำให้กิจการ
นั้นมีผลกำไร
ขั้นที่ 4 ทำเวลาใด
เป็นการกำหนดเวลาในการทำงาน ซึ่งมีความสำคัญมาก เพราะเวลาจะช่วยให้เราทราบว่า เราจะทำอะไรในแต่ละวัน เดือน หรือตลอดปี
อาจจะกำหนดเป็นตารางปฏิบัติงาน ดังนี้
เลขที่
กิจกรรม
ระยะเวลา
1 2 3.....30
หมายเหตุ
ขั้นที่ 5 ทำอย่างไร
เป็นขั้นตอนในการวางแผนการทำงานให้ประสบความสำเร็จที่สำคัญที่สุด
คือ การวางแผน เพราะงานจะบรรลุเป้าหมายได้ต้องรู้วิธีการทำงาน
ซึ่งต้องอาศัยคุณสมบัติส่วนตัวของบุคคล 3 ประการ คือ
5.1 มีประสบการณ์ มีความรู้จริงในงานที่จะทำ ถ้าขาดสิ่งนี้จะทำงานไม่ได้เลย
5.2 มีความรู้สึกอยากทำงาน
5.3 มีความมุ่งมั่นในการทำงาน
ขั้นที่ 6 ให้ใครทำ
เป็นขั้นกำหนดบุคคลให้เหมาะสมกับงาน จะมีความสำคัญกับงานที่จะต้อง
ช่วยกันทำหลายคน เช่น งานราชการ งานโรงงาน หรืองานบริษัท
และงานอิสระอื่น ๆ ที่จะต้องทำงานร่วมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ในขั้นนี้ต้องคำนึง
ถึงความถนัด ความชอบ และความรู้ความสามารถของคนที่จะทำงาน
ขั้นที่ 7 ผลเป็นอย่างไร
เป็นขั้นสรุปผลการทำงานหรือประเมินผลการทำงาน
ซึ่งจะได้ตรวจสอบว่างานที่เราทำนั้นสำเร็จตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนด
ไว้ในขั้นที่ 2 หรือไม่
จากขั้นตอนในการวางแผนในการทำงานทั้ง 7 ขั้น ทุกขั้นตอนจะต้องคิด
หรือวางแผนก่อนการทำงาน เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น
ดังนั้น วิธีการทำงานให้เกิดความสุขก็คือ การเข้าใจวิธีการวางแผนในการทำงาน
งานก็จะประสบความสำเร็จ เมื่องานสำเร็จ คนทำงานก็มีความสุข
2.2 การสร้างทีมงาน
การทำงานเป็นทีมมักพบเห็นกันทั่วไป เริ่มตั้งแต่ภายในครอบครัว
หรือหน่วยงานรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ เอกชน ทีมงานที่มีประสิทธิภาพ
จะช่วยให้การดำเนินงานบรรลุไปตามเป้าหมายที่วางไว้ การสร้างทีมงาน
จึงหมายถึง การปรับปรุงความสัมพันธ์ต่าง ๆ ในการทำงาน
ให้ดีขึ้น ดังนั้น วิธีการทำงานให้เกิดความสุขจึงต้องรู้จัก
วิธีการสร้างทีมงาน ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1. สร้างความเข้าใจในเป้าหมายของงานที่จะทำร่วมกัน
2. เปิดเผยและจริงใจต่อกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีปัญหาและ
อุปสรรคที่จะต้องแก้ไขร่วมกัน
3. สมาชิกในทีมต้องช่วยกันสร้างเสริมทักษะความเชี่ยวชาญในงานที่จะทำร่วมกัน
4. การสนับสนุนให้สมาชิกในทีมงานได้เรียนรู้ที่จะรับฟังความคิดเห็นและข้อมูล
ข่าวสารของผู้อื่นอย่างตั้งใจ และให้เกียรติซึ่งกันและกัน
5. พัฒนาทักษะในการแก้ปัญหาร่วมกัน
6. สร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมากขึ้น เป็นการช่วยลดปัญหาความขัดแย้ง
7. ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในหมู่สมาชิกของทีมงาน
ลักษณะของทีมงานที่ดี
1. สมาชิกทุกคนเต็มใจที่จะผูกพันเพื่อให้เกิดความสำเร็จตาม
วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ร่วมกัน
2. สมาชิกในทีมงานมีความสัมพันธ์กันอย่างเปิดเผย ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา
กล้าเผชิญหน้าเพื่อแก้ปัญหาการทำงานร่วมกัน
3. สมาชิกในทีมงานช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เข้าใจความสัมพันธ์
ระหว่างงานของตนเองกับงานของผู้อื่น
4. สมาชิกในทีมงานอุทิศตนในการปฏิบัติงานให้เสร็จไปด้วยดี
การพัฒนาทีมงาน
การพัฒนาทีมงาน คือ ความพยายามเปลี่ยนแปลงทีมงานให้เป็น
ทีมที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะต้องดำเนินการอย่างมีระบบ แบ่งออกเป็น 5 ระยะ
ดังนี้
ระยะที่ 1 ระยะปรับตัว จะมีลักษณะดังนี้
1.1 สมาชิกไม่ไว้วางใจ ตัวใครตัวมัน
1.2 การสื่อสารไม่ทั่วถึง
1.3 จุดประสงค์ในการทำงานไม่เด่นชัด
1.4 การบริหารงานอยู่ส่วนกลาง
1.5 การปฏิบัติงานมีขั้นตอนมาก
1.6 สมาชิกไม่มีโอกาสเรียนรู้ความผิดพลาด
ระยะที่ 2 ระยะประลองกำลัง มีลักษณะดังนี้
2.1 หัวหน้าทีมรู้จักประเมินและหาทางพัฒนา
2.2 ทบทวนการทำงานของทีมและปรับปรุงพัฒนาให้ดีขึ้น
2.3 สมาชิกสนใจบรรยากาศในการทำงาน
2.4 มีการอภิปรายและแสดงความคิดเห็น
2.5 มีการประชุมมากขึ้น คิดมากขึ้น พูดน้อยลง
ระยะที่ 3 ระยะทดลอง จะมีลักษณะของทีมงานดังนี้
3.1 กฎเกณฑ์ต่าง ๆ จะถูกทบทวน
3.2 เข้าใจวัตถุประสงค์ของงานอย่างกระจ่างชัด
3.3 ภาคภูมิใจในการเป็นสมาชิกในทีมงาน
3.4 ห่วงใยความเป็นอยู่ของสมาชิก
3.5 การทำงานคำนึงถึงทรัพยากรที่มีอยู่
ระยะที่ 4 ระยะแสดงผลงาน มีลักษณะดังนี้
4.1 สมาชิกเต็มใจที่จะช่วยเหลือกันทำงาน
4.2 ทุกคนจะแสดงความสามารถพิเศษ
4.3 ปัญหาความขัดแย้งของทีมงานลดลง
4.4 ระดมกำลังความคิดความสามารถเต็มที่
4.5 หัวหน้าทีมงานต้องใช้ความสามารถในการประสานงานอย่างเต็มที่
ระยะที่ 5 ระยะสมบูรณ์ เป็นลักษณะของทีมงานที่สมบูรณ์แบบ มีลักษณะดังนี้
5.1 ความสัมพันธ์ในหมู่สมาชิกดีเยี่ยม
5.2 เปิดเผยความจริงใจซึ่งกันและกัน
5.3 รูปแบบของกลุ่มเป็นแบบไม่เป็นทางการ
5.4 สมาชิกยอมรับนับถือความสามารถของกลุ่ม
5.5 มีขวัญและกำลังใจดีเยี่ยม
5.6 ภูมิใจและพอใจในการทำงาน
2.3 การใช้เวลาให้เกิดคุณค่าต่อชีวิต
เวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่าสำหรับทุกคน การใช้เวลาให้เกิดคุณค่าต่อชีวิต จึงเป็นความจำเป็นพื้นฐานของมนุษย์ที่จะต้องทำงานแข่งกับเวลา
มนุษย์จึงมีข้อจำกัดในเรื่องของเวลา เพราะมนุษย์เกิดมาต้องตาย ดังนั้นบุคคลทุกคนควรใช้เวลาให้เกิดคุณค่าต่อชีวิตและสังคม ดังคำคมที่ว่า
“สายน้ำไม่รอท่า กาลเวลาไม่รอใคร” การทำงานให้มีความสุขต้องรู้จักวิธีการใช้เวลา
ให้เกิดคุณค่าต่อชีวิตและผลงาน ด้วยวิธีการดังนี้
1. การตรงต่อเวลา
เวลาเป็นเครื่องวัดความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการทำงาน
เพราะการมาทำงานตรงเวลา การทำงานเสร็จตามเวลาที่กำหนด
เป็นสิ่งที่ปรารถนาของทุกหน่วยงาน บุคคลที่ประสบความสำเร็จจะต้อง
เป็นบุคคลที่ตรงต่อเวลา การฝึกฝนตนเองให้เป็นคนตรงต่อเวลาจึงเป็น
สิ่งจำเป็นและมีค่าต่อชีวิต ควรใช้วิธีการดังนี้
1.1 สำรวจตนเองอยู่เสมอ
1.2 จัดทำตารางการทำงาน
1.3 บันทึกการนัดหมายงาน
1.4 สร้างสัญญาณและสิ่งเตือนใจ
1.5 มอบให้คนอื่นจัดการสำหรับบุคคลที่มีงานมากต้อง
ให้ผู้อื่นช่วยเหลือ เช่น ผู้บริหารหรือนักธุรกิจ
จะมีเลขาเป็นคนดูแลในเรื่องเวลาของการทำงาน
2. การใช้เวลาให้เกิดประโยชน์
เมื่อเวลามีน้อยจึงมีค่า การใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตและ
ผลงาน จึงถือเป็นความสุขและความสำเร็จในการทำงาน
ควรใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ ดังนี้
2.1 ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ต่องาน อาชีพของตนถือเป็น
สิ่งสำคัญที่สุด เพราะเกี่ยวพันกับการครองชีวิตในสังคม
ซึ่งบุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและการงาน จะเป็นผู้ที่อุทิศเวลา
ให้กับงานอาชีพของตนมากที่สุด
2.2 ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม มนุษย์เป็นสัตว์สังคมต้อง
อยู่ร่วมกันกับผู้อื่น จำเป็นต้องใช้เวลาพบปะสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงาน
เพื่อนบ้าน และญาติมิตร สังคมในชุมชนและชีวิตการทำงานจึงจะเกิดความสุข
2.3 การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง หมายถึง
เวลานอกเหนือจากการทำงานประจำ เช่น การทำงานบ้าน
งานสวน งานอดิเรกอื่น ๆ ตามความเหมาะสมของตน
จะทำให้ชีวิตมีค่าเพิ่มขึ้น
3. การประหยัดเวลา
เวลามีค่า ต้องรู้จักการจัดการกับเวลา ไม่ใช้เวลาให้เสียไป
โดยเปล่าประโยชน์ เพราะหลายคนต้องเสียเวลากับเรื่องที่ไร้สาระ
ทั้งจำเป็นและจำยอม จึงควรใช้วิธีการประหยัดเวลา ดังนี้
3.1 ลดขั้นตอนของการทำงานลง เลือกทำเฉพาะกิจกรรม
ที่เป็นสาระสำคัญของงาน
3.2 การกระจายงาน คือ การแบ่งงานหรือมอบความรับผิดชอบ
ให้หลายคนช่วยกัน ก็จะประหยัดเวลาได้ดี
3.3 การควบคุมงาน หมายถึงการกำกับดูแลและประสานงาน
ให้การทำงานดำเนินไปตามระยะเวลาที่กำหนด
3.4 การใช้เครื่องมือเทคโนโลยีสมัยใหม่ หมายถึง การใช้เครื่องมือ
ทุ่นแรงแทนแรงงานคนและสัตว์ ก็จะช่วยประหยัดเวลาได้มาก
จากสาระสำคัญของการใช้เวลาให้เกิดคุณค่าต่อชีวิต จะเห็นได้ว่าการทำงาน
ให้เกิดความสุข บุคคลต้องรู้จักการจัดการเวลาให้เกิดคุณค่าต่อชีวิตและสังคมให้มากที่สุด
โดยการตรงต่อเวลา การใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ และการรู้จักการจัดการเวลา
2.4 งานที่ตรงกับใจ
การทำงานให้เกิดความสุข ความสำเร็จ จะต้องเกิดจากการทำงาน
ที่ตรงกับใจหมายถึง งานที่มีใจรัก ตรงกับความรู้ความสามารถของแต่ละบุคคล
ดังนั้นวิธีการทำงานให้มีความสุข จะต้องเลือกทำงานที่เป็นเป้าหมายของชีวิต
งานที่เรามีความชอบ ความถนัดเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว คนเราจะทำงานให้ประสบ
ความสำเร็จ มีองค์ประกอบ 3 ประการ คือ
1. มีฝีมือในการทำงาน
2. รู้จักคิด
3. มีจิตใจรัก
จะเห็นได้ว่าองค์ประกอบทั้ง 3 ประการนี้จะแยกกันไม่ได้ กล่าวคือ คนที่มีฝีมือในการทำงานเพียงอย่างเดียว ไม่รู้จักคิดริเริ่มงานใหม่ ๆ
และไม่มีจิตใจรักในงานที่ทำแล้ว งานก็จะไม่ประสบผลสำเร็จ บุคคลที่เลือกงาน
หรือทำงานที่ตรงกับใจจะต้องมีฝีมือ รู้จักคิด มีจิตใจรัก
การทำงานก็จะมีความสุข ดังเช่นหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนา
ที่สอนให้คนทำงานได้สำเร็จ ที่เรียกว่า “อิทธิบาทสี่” มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ฉันทะ หมายถึง ความพอใจ รักใคร่ มีใจรักในงานที่จะทำ
2. วิริยะ หมายถึง ความขยันหมั่นเพียร มีความพยายามที่จะทำงานให้สำเร็จ
3. จิตตะ หมายถึง การมีจิตใจฝักใฝ่ มุ่งมั่นที่จะทำงานให้สำเร็จ
4. วิมังสา หมายถึง การตรวจสอบ ไตร่ตรองโดยใช้ปัญญา
งานก็จะประสบความสำเร็จ เป็นงานที่ตรงกับใจ
ลักษณะของงานที่ตรงกับใจ มีดังนี้
1. งานที่ตรงกับความรู้ ความสามารถของตนเอง
2. งานที่เป็นเป้าหมายหรือมุ่งหวังในชีวิต
3. งานที่ตนเองชอบ
4. งานที่ตนเองมีความถนัดและเชี่ยวชาญ
5. งานที่ทำแล้วเกิดความสบายใจ
6. งานที่ตนเองเป็นเจ้านาย
7. งานที่เกิดจากความรู้สึกนึกคิดของตนเอง
8. งานที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น
9. งานที่คนอื่นชื่นชมว่าเรามีความสามารถ
10. งานสุจริตและมีคุณค่าต่อตนเองและสังคม
วิธีการทำงานให้เกิดความสุข ต้องรู้จักการวางแผนใน
การทำงานซึ่งหมายถึง การกำหนดแนวทางก่อนการทำงานทุกครั้ง
โดยคาดการณ์ล่วงหน้าว่าจะทำอะไร ทำทำไม ทำที่ไหน ทำเมื่อไร
อย่างไร และใครทำ และเราก็ปฏิบัติตาม งานก็จะสำเร็จ
คนทำงานเกิดความภูมิใจและมีความสุข การวางแผนใน
การทำงานที่ดีควรมีแนวทางตามขั้นตอนต่อไปนี้
ขั้นที่ 1 เราจะทำอะไร
เป็นการวางแผนการทำงาน ซึ่งหมายถึง การคิดและเลือกงาน
ตามความรู้ความสามารถในตัวเรา จะมีความสำคัญมากในงานอาชีพอิสระ
แต่ถ้าเป็นงานราชการก็อยู่ในขั้นการคิดโครงการ
ขั้นที่ 2 ทำไปทำไม
เมื่อเราคิดว่าจะทำอะไรแล้ว ต้องคิดต่อไปอีกว่าทำไปทำไม ก็หมายถึงการตั้งวัตถุประสงค์ในการทำงานว่า เราอยากได้อะไรเป็น
ผลตอบแทน ถ้าเป็นงานอาชีพต้องคิดถึงผลตอบแทนที่เป็นกำไรหรือ
ขาดทุนจะคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่
ขั้นที่ 3 ทำที่ไหน
เป็นการกำหนดสถานที่ในการทำงาน จะมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ในการทำงานที่เกี่ยวกับการค้าขาย โดยเฉพาะการเลือกที่ตั้งในการทำอาชีพอิสระ
อาชีพบริการ ถ้าเลือกที่ตั้งได้เหมาะสมก็จะมีลูกค้ามาใช้บริการมาก ทำให้กิจการ
นั้นมีผลกำไร
ขั้นที่ 4 ทำเวลาใด
เป็นการกำหนดเวลาในการทำงาน ซึ่งมีความสำคัญมาก เพราะเวลาจะช่วยให้เราทราบว่า เราจะทำอะไรในแต่ละวัน เดือน หรือตลอดปี
อาจจะกำหนดเป็นตารางปฏิบัติงาน ดังนี้
เลขที่
กิจกรรม
ระยะเวลา
1 2 3.....30
หมายเหตุ
ขั้นที่ 5 ทำอย่างไร
เป็นขั้นตอนในการวางแผนการทำงานให้ประสบความสำเร็จที่สำคัญที่สุด
คือ การวางแผน เพราะงานจะบรรลุเป้าหมายได้ต้องรู้วิธีการทำงาน
ซึ่งต้องอาศัยคุณสมบัติส่วนตัวของบุคคล 3 ประการ คือ
5.1 มีประสบการณ์ มีความรู้จริงในงานที่จะทำ ถ้าขาดสิ่งนี้จะทำงานไม่ได้เลย
5.2 มีความรู้สึกอยากทำงาน
5.3 มีความมุ่งมั่นในการทำงาน
ขั้นที่ 6 ให้ใครทำ
เป็นขั้นกำหนดบุคคลให้เหมาะสมกับงาน จะมีความสำคัญกับงานที่จะต้อง
ช่วยกันทำหลายคน เช่น งานราชการ งานโรงงาน หรืองานบริษัท
และงานอิสระอื่น ๆ ที่จะต้องทำงานร่วมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ในขั้นนี้ต้องคำนึง
ถึงความถนัด ความชอบ และความรู้ความสามารถของคนที่จะทำงาน
ขั้นที่ 7 ผลเป็นอย่างไร
เป็นขั้นสรุปผลการทำงานหรือประเมินผลการทำงาน
ซึ่งจะได้ตรวจสอบว่างานที่เราทำนั้นสำเร็จตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนด
ไว้ในขั้นที่ 2 หรือไม่
จากขั้นตอนในการวางแผนในการทำงานทั้ง 7 ขั้น ทุกขั้นตอนจะต้องคิด
หรือวางแผนก่อนการทำงาน เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น
ดังนั้น วิธีการทำงานให้เกิดความสุขก็คือ การเข้าใจวิธีการวางแผนในการทำงาน
งานก็จะประสบความสำเร็จ เมื่องานสำเร็จ คนทำงานก็มีความสุข
2.2 การสร้างทีมงาน
การทำงานเป็นทีมมักพบเห็นกันทั่วไป เริ่มตั้งแต่ภายในครอบครัว
หรือหน่วยงานรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ เอกชน ทีมงานที่มีประสิทธิภาพ
จะช่วยให้การดำเนินงานบรรลุไปตามเป้าหมายที่วางไว้ การสร้างทีมงาน
จึงหมายถึง การปรับปรุงความสัมพันธ์ต่าง ๆ ในการทำงาน
ให้ดีขึ้น ดังนั้น วิธีการทำงานให้เกิดความสุขจึงต้องรู้จัก
วิธีการสร้างทีมงาน ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1. สร้างความเข้าใจในเป้าหมายของงานที่จะทำร่วมกัน
2. เปิดเผยและจริงใจต่อกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีปัญหาและ
อุปสรรคที่จะต้องแก้ไขร่วมกัน
3. สมาชิกในทีมต้องช่วยกันสร้างเสริมทักษะความเชี่ยวชาญในงานที่จะทำร่วมกัน
4. การสนับสนุนให้สมาชิกในทีมงานได้เรียนรู้ที่จะรับฟังความคิดเห็นและข้อมูล
ข่าวสารของผู้อื่นอย่างตั้งใจ และให้เกียรติซึ่งกันและกัน
5. พัฒนาทักษะในการแก้ปัญหาร่วมกัน
6. สร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมากขึ้น เป็นการช่วยลดปัญหาความขัดแย้ง
7. ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในหมู่สมาชิกของทีมงาน
ลักษณะของทีมงานที่ดี
1. สมาชิกทุกคนเต็มใจที่จะผูกพันเพื่อให้เกิดความสำเร็จตาม
วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ร่วมกัน
2. สมาชิกในทีมงานมีความสัมพันธ์กันอย่างเปิดเผย ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา
กล้าเผชิญหน้าเพื่อแก้ปัญหาการทำงานร่วมกัน
3. สมาชิกในทีมงานช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เข้าใจความสัมพันธ์
ระหว่างงานของตนเองกับงานของผู้อื่น
4. สมาชิกในทีมงานอุทิศตนในการปฏิบัติงานให้เสร็จไปด้วยดี
การพัฒนาทีมงาน
การพัฒนาทีมงาน คือ ความพยายามเปลี่ยนแปลงทีมงานให้เป็น
ทีมที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะต้องดำเนินการอย่างมีระบบ แบ่งออกเป็น 5 ระยะ
ดังนี้
ระยะที่ 1 ระยะปรับตัว จะมีลักษณะดังนี้
1.1 สมาชิกไม่ไว้วางใจ ตัวใครตัวมัน
1.2 การสื่อสารไม่ทั่วถึง
1.3 จุดประสงค์ในการทำงานไม่เด่นชัด
1.4 การบริหารงานอยู่ส่วนกลาง
1.5 การปฏิบัติงานมีขั้นตอนมาก
1.6 สมาชิกไม่มีโอกาสเรียนรู้ความผิดพลาด
ระยะที่ 2 ระยะประลองกำลัง มีลักษณะดังนี้
2.1 หัวหน้าทีมรู้จักประเมินและหาทางพัฒนา
2.2 ทบทวนการทำงานของทีมและปรับปรุงพัฒนาให้ดีขึ้น
2.3 สมาชิกสนใจบรรยากาศในการทำงาน
2.4 มีการอภิปรายและแสดงความคิดเห็น
2.5 มีการประชุมมากขึ้น คิดมากขึ้น พูดน้อยลง
ระยะที่ 3 ระยะทดลอง จะมีลักษณะของทีมงานดังนี้
3.1 กฎเกณฑ์ต่าง ๆ จะถูกทบทวน
3.2 เข้าใจวัตถุประสงค์ของงานอย่างกระจ่างชัด
3.3 ภาคภูมิใจในการเป็นสมาชิกในทีมงาน
3.4 ห่วงใยความเป็นอยู่ของสมาชิก
3.5 การทำงานคำนึงถึงทรัพยากรที่มีอยู่
ระยะที่ 4 ระยะแสดงผลงาน มีลักษณะดังนี้
4.1 สมาชิกเต็มใจที่จะช่วยเหลือกันทำงาน
4.2 ทุกคนจะแสดงความสามารถพิเศษ
4.3 ปัญหาความขัดแย้งของทีมงานลดลง
4.4 ระดมกำลังความคิดความสามารถเต็มที่
4.5 หัวหน้าทีมงานต้องใช้ความสามารถในการประสานงานอย่างเต็มที่
ระยะที่ 5 ระยะสมบูรณ์ เป็นลักษณะของทีมงานที่สมบูรณ์แบบ มีลักษณะดังนี้
5.1 ความสัมพันธ์ในหมู่สมาชิกดีเยี่ยม
5.2 เปิดเผยความจริงใจซึ่งกันและกัน
5.3 รูปแบบของกลุ่มเป็นแบบไม่เป็นทางการ
5.4 สมาชิกยอมรับนับถือความสามารถของกลุ่ม
5.5 มีขวัญและกำลังใจดีเยี่ยม
5.6 ภูมิใจและพอใจในการทำงาน
2.3 การใช้เวลาให้เกิดคุณค่าต่อชีวิต
เวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่าสำหรับทุกคน การใช้เวลาให้เกิดคุณค่าต่อชีวิต จึงเป็นความจำเป็นพื้นฐานของมนุษย์ที่จะต้องทำงานแข่งกับเวลา
มนุษย์จึงมีข้อจำกัดในเรื่องของเวลา เพราะมนุษย์เกิดมาต้องตาย ดังนั้นบุคคลทุกคนควรใช้เวลาให้เกิดคุณค่าต่อชีวิตและสังคม ดังคำคมที่ว่า
“สายน้ำไม่รอท่า กาลเวลาไม่รอใคร” การทำงานให้มีความสุขต้องรู้จักวิธีการใช้เวลา
ให้เกิดคุณค่าต่อชีวิตและผลงาน ด้วยวิธีการดังนี้
1. การตรงต่อเวลา
เวลาเป็นเครื่องวัดความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการทำงาน
เพราะการมาทำงานตรงเวลา การทำงานเสร็จตามเวลาที่กำหนด
เป็นสิ่งที่ปรารถนาของทุกหน่วยงาน บุคคลที่ประสบความสำเร็จจะต้อง
เป็นบุคคลที่ตรงต่อเวลา การฝึกฝนตนเองให้เป็นคนตรงต่อเวลาจึงเป็น
สิ่งจำเป็นและมีค่าต่อชีวิต ควรใช้วิธีการดังนี้
1.1 สำรวจตนเองอยู่เสมอ
1.2 จัดทำตารางการทำงาน
1.3 บันทึกการนัดหมายงาน
1.4 สร้างสัญญาณและสิ่งเตือนใจ
1.5 มอบให้คนอื่นจัดการสำหรับบุคคลที่มีงานมากต้อง
ให้ผู้อื่นช่วยเหลือ เช่น ผู้บริหารหรือนักธุรกิจ
จะมีเลขาเป็นคนดูแลในเรื่องเวลาของการทำงาน
2. การใช้เวลาให้เกิดประโยชน์
เมื่อเวลามีน้อยจึงมีค่า การใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตและ
ผลงาน จึงถือเป็นความสุขและความสำเร็จในการทำงาน
ควรใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ ดังนี้
2.1 ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ต่องาน อาชีพของตนถือเป็น
สิ่งสำคัญที่สุด เพราะเกี่ยวพันกับการครองชีวิตในสังคม
ซึ่งบุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและการงาน จะเป็นผู้ที่อุทิศเวลา
ให้กับงานอาชีพของตนมากที่สุด
2.2 ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม มนุษย์เป็นสัตว์สังคมต้อง
อยู่ร่วมกันกับผู้อื่น จำเป็นต้องใช้เวลาพบปะสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงาน
เพื่อนบ้าน และญาติมิตร สังคมในชุมชนและชีวิตการทำงานจึงจะเกิดความสุข
2.3 การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง หมายถึง
เวลานอกเหนือจากการทำงานประจำ เช่น การทำงานบ้าน
งานสวน งานอดิเรกอื่น ๆ ตามความเหมาะสมของตน
จะทำให้ชีวิตมีค่าเพิ่มขึ้น
3. การประหยัดเวลา
เวลามีค่า ต้องรู้จักการจัดการกับเวลา ไม่ใช้เวลาให้เสียไป
โดยเปล่าประโยชน์ เพราะหลายคนต้องเสียเวลากับเรื่องที่ไร้สาระ
ทั้งจำเป็นและจำยอม จึงควรใช้วิธีการประหยัดเวลา ดังนี้
3.1 ลดขั้นตอนของการทำงานลง เลือกทำเฉพาะกิจกรรม
ที่เป็นสาระสำคัญของงาน
3.2 การกระจายงาน คือ การแบ่งงานหรือมอบความรับผิดชอบ
ให้หลายคนช่วยกัน ก็จะประหยัดเวลาได้ดี
3.3 การควบคุมงาน หมายถึงการกำกับดูแลและประสานงาน
ให้การทำงานดำเนินไปตามระยะเวลาที่กำหนด
3.4 การใช้เครื่องมือเทคโนโลยีสมัยใหม่ หมายถึง การใช้เครื่องมือ
ทุ่นแรงแทนแรงงานคนและสัตว์ ก็จะช่วยประหยัดเวลาได้มาก
จากสาระสำคัญของการใช้เวลาให้เกิดคุณค่าต่อชีวิต จะเห็นได้ว่าการทำงาน
ให้เกิดความสุข บุคคลต้องรู้จักการจัดการเวลาให้เกิดคุณค่าต่อชีวิตและสังคมให้มากที่สุด
โดยการตรงต่อเวลา การใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ และการรู้จักการจัดการเวลา
2.4 งานที่ตรงกับใจ
การทำงานให้เกิดความสุข ความสำเร็จ จะต้องเกิดจากการทำงาน
ที่ตรงกับใจหมายถึง งานที่มีใจรัก ตรงกับความรู้ความสามารถของแต่ละบุคคล
ดังนั้นวิธีการทำงานให้มีความสุข จะต้องเลือกทำงานที่เป็นเป้าหมายของชีวิต
งานที่เรามีความชอบ ความถนัดเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว คนเราจะทำงานให้ประสบ
ความสำเร็จ มีองค์ประกอบ 3 ประการ คือ
1. มีฝีมือในการทำงาน
2. รู้จักคิด
3. มีจิตใจรัก
จะเห็นได้ว่าองค์ประกอบทั้ง 3 ประการนี้จะแยกกันไม่ได้ กล่าวคือ คนที่มีฝีมือในการทำงานเพียงอย่างเดียว ไม่รู้จักคิดริเริ่มงานใหม่ ๆ
และไม่มีจิตใจรักในงานที่ทำแล้ว งานก็จะไม่ประสบผลสำเร็จ บุคคลที่เลือกงาน
หรือทำงานที่ตรงกับใจจะต้องมีฝีมือ รู้จักคิด มีจิตใจรัก
การทำงานก็จะมีความสุข ดังเช่นหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนา
ที่สอนให้คนทำงานได้สำเร็จ ที่เรียกว่า “อิทธิบาทสี่” มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ฉันทะ หมายถึง ความพอใจ รักใคร่ มีใจรักในงานที่จะทำ
2. วิริยะ หมายถึง ความขยันหมั่นเพียร มีความพยายามที่จะทำงานให้สำเร็จ
3. จิตตะ หมายถึง การมีจิตใจฝักใฝ่ มุ่งมั่นที่จะทำงานให้สำเร็จ
4. วิมังสา หมายถึง การตรวจสอบ ไตร่ตรองโดยใช้ปัญญา
งานก็จะประสบความสำเร็จ เป็นงานที่ตรงกับใจ
ลักษณะของงานที่ตรงกับใจ มีดังนี้
1. งานที่ตรงกับความรู้ ความสามารถของตนเอง
2. งานที่เป็นเป้าหมายหรือมุ่งหวังในชีวิต
3. งานที่ตนเองชอบ
4. งานที่ตนเองมีความถนัดและเชี่ยวชาญ
5. งานที่ทำแล้วเกิดความสบายใจ
6. งานที่ตนเองเป็นเจ้านาย
7. งานที่เกิดจากความรู้สึกนึกคิดของตนเอง
8. งานที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น
9. งานที่คนอื่นชื่นชมว่าเรามีความสามารถ
10. งานสุจริตและมีคุณค่าต่อตนเองและสังคม
การตรงต่อเวลา
ความหมาย การถือตามกำหนดเวลา สำหรับกิจการอย่างใดอย่างหนึ่ง
ข้อคิด /คำคม “จงเป็นคนตรงต่อเวลา และเรียกร้องให้คนอื่นตรงต่อเวลาด้วย”
สำนวน “เวลาเป็นเงิน เป็นทอง” “เวลาและวารี มิรอรีต่อผู้ใด”
ประโยชน์ของการตรงต่อเวลา
1.ทำให้เรามีนิสัยขยันขันแข็ง เอาการเอางานอย่างจริงจัง
2.ฝึกให้เราเป็นคนกระตือรือร้น มี่ชีวิตชีวา
3.ทำให้เรามีความซื่อตรงต่อตัวเอง รักษาเกียรติยศของตนเอง
4.ทำให้เราทำงานได้สะดวก รวดเร็ว เรียบร้อยและมีผลดี
5.หน้าที่การงานประสบความสำเร็จ ชีวิตก้าวหน้า
6.สามารถกำหนดกิจกรรมต่าง ๆ ที่เราจะกระทำได้ในแต่ละวันทำให้ชีวิตมีระเบียบ และมีวินัยกับตนเอง
7.เป็นที่เชื่อถือ และไว้ใจของคนอื่น
โทษของการไม่ตรงต่อเวลา
1.กลายเป็นคนเกียจคร้าน คอยหาสาเหตุหลีกเลี่ยงงาน
2.เป็นคนผลัดวันประกันพรุ่ง
3.กิจกรรมหรือการงาน และชีวิตยุ่งเหยิง ไม่เป็นระเบียบ
4.กลายเป็นคนไม่ซื่อตรงต่อตนเอง
5.ทำให้ผิดนัด กิจกรรมหรืองานเกิดความเสียหาย
6.ไม่เป็นที่เชื่อถือของคนอื่น
บทความ ตรงต่อเวลา
การตรงต่อเวลา เป็นหัวใจของกิจการทั้งปวง ยิ่งในวงธุรกิจใหญ่ ๆ การผิดเวลา มีผลให้เกิดความเสียหายใหญ่โต เฉพาะบุคคลแต่ละคน การตรงต่อเวลา เป็นเครื่องแสดงนิสัยใจคอ คนตรงต่อเวลามักเป็นคนเอาการเอางาน มีระเบียบ ไว้เนื้อเชื่อใจได้
ท่านหญิงพูนพิศมัย ดิสกุล ทรงเล่าถึงเสด็จพ่อของท่านในหนังสือชีวิตและงานของ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ตอนหนึ่งว่า “การตรงต่อเวลาอย่างหนึ่ง ท่านทรงถือมาก ว่า ผู้ใดไม่ถือเวลาเป็นสำคัญ ผู้นั้นเป็นคนไม่มีหลัก เชื่อถือไม่ได้” คตินี้สำคัญนัก และควรใส่ใจอย่าง่ยิ่ง การฝึกตนให้เป็นคนตรงต่อเวลา เป็นทางแห่งความสำเร็จและความก้าวหน้า ผู้ที่เป็นใหญ่เป็นโตและเป็นคนสำคัญนั้น ไม่ใช่เป็นได้โดยการยกย่องหรือโดยการสืบตระกูล ตัวเองต้องปฏิบัติตนให้มีระเบียบ การฝึกตนให้ตรงต่อเวลา เป็นวิธีการฝึกระเบียบอย่างดียิ่ง วันหนึ่ง ๆ ท่านเคยมีกำหนดเวลา กิน นอน ทำงาน หรือเปล่า และได้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดหรือเปล่า หากคำตอบของท่านว่า “ไม่” นั่นแสดงว่า ท่านยังห่างไกลกับความสำเร็จมากนัก
การหัดให้เป็นคนตรงต่อเวลานับเป็นคุณสมบัติดีเลิศประจำตัวอย่างหนึ่ง
ข้อคิด /คำคม “จงเป็นคนตรงต่อเวลา และเรียกร้องให้คนอื่นตรงต่อเวลาด้วย”
สำนวน “เวลาเป็นเงิน เป็นทอง” “เวลาและวารี มิรอรีต่อผู้ใด”
ประโยชน์ของการตรงต่อเวลา
1.ทำให้เรามีนิสัยขยันขันแข็ง เอาการเอางานอย่างจริงจัง
2.ฝึกให้เราเป็นคนกระตือรือร้น มี่ชีวิตชีวา
3.ทำให้เรามีความซื่อตรงต่อตัวเอง รักษาเกียรติยศของตนเอง
4.ทำให้เราทำงานได้สะดวก รวดเร็ว เรียบร้อยและมีผลดี
5.หน้าที่การงานประสบความสำเร็จ ชีวิตก้าวหน้า
6.สามารถกำหนดกิจกรรมต่าง ๆ ที่เราจะกระทำได้ในแต่ละวันทำให้ชีวิตมีระเบียบ และมีวินัยกับตนเอง
7.เป็นที่เชื่อถือ และไว้ใจของคนอื่น
โทษของการไม่ตรงต่อเวลา
1.กลายเป็นคนเกียจคร้าน คอยหาสาเหตุหลีกเลี่ยงงาน
2.เป็นคนผลัดวันประกันพรุ่ง
3.กิจกรรมหรือการงาน และชีวิตยุ่งเหยิง ไม่เป็นระเบียบ
4.กลายเป็นคนไม่ซื่อตรงต่อตนเอง
5.ทำให้ผิดนัด กิจกรรมหรืองานเกิดความเสียหาย
6.ไม่เป็นที่เชื่อถือของคนอื่น
บทความ ตรงต่อเวลา
การตรงต่อเวลา เป็นหัวใจของกิจการทั้งปวง ยิ่งในวงธุรกิจใหญ่ ๆ การผิดเวลา มีผลให้เกิดความเสียหายใหญ่โต เฉพาะบุคคลแต่ละคน การตรงต่อเวลา เป็นเครื่องแสดงนิสัยใจคอ คนตรงต่อเวลามักเป็นคนเอาการเอางาน มีระเบียบ ไว้เนื้อเชื่อใจได้
ท่านหญิงพูนพิศมัย ดิสกุล ทรงเล่าถึงเสด็จพ่อของท่านในหนังสือชีวิตและงานของ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ตอนหนึ่งว่า “การตรงต่อเวลาอย่างหนึ่ง ท่านทรงถือมาก ว่า ผู้ใดไม่ถือเวลาเป็นสำคัญ ผู้นั้นเป็นคนไม่มีหลัก เชื่อถือไม่ได้” คตินี้สำคัญนัก และควรใส่ใจอย่าง่ยิ่ง การฝึกตนให้เป็นคนตรงต่อเวลา เป็นทางแห่งความสำเร็จและความก้าวหน้า ผู้ที่เป็นใหญ่เป็นโตและเป็นคนสำคัญนั้น ไม่ใช่เป็นได้โดยการยกย่องหรือโดยการสืบตระกูล ตัวเองต้องปฏิบัติตนให้มีระเบียบ การฝึกตนให้ตรงต่อเวลา เป็นวิธีการฝึกระเบียบอย่างดียิ่ง วันหนึ่ง ๆ ท่านเคยมีกำหนดเวลา กิน นอน ทำงาน หรือเปล่า และได้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดหรือเปล่า หากคำตอบของท่านว่า “ไม่” นั่นแสดงว่า ท่านยังห่างไกลกับความสำเร็จมากนัก
การหัดให้เป็นคนตรงต่อเวลานับเป็นคุณสมบัติดีเลิศประจำตัวอย่างหนึ่ง
มนุษยสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับอะไรในการทำงาน
การที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคนอื่นได้นั้น เราควรจะได้เรียนรู้ถึงธรรมชาติ ความต้องการของคนโดยทั่วไปเสียก่อน ถ้าหากเราต้องการจะทำให้เขาเกิดความพึงพอใจก็ควรจะทำในสิ่งที่บุคคลอื่นต้องการ การที่เราจะทำอะไรหรือให้อะไรแก่คนอื่นในสิ่งที่เขาไม่ต้องการก็จะไม่ช่วยสร้างให้เกิดความสัมพันธ์อันดีขึ้นได้ เช่น นำอาหารอร่อย ๆ มาให้กับคนที่กำลังอิ่มอยู่แล้ว เช่นนี้ย่อมไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย เราควรจะต้องพิจารณาดูเสียก่อนว่าเขามีความต้องการในสิ่งใด ถ้าให้ถูกต้องตามความต้องการของเขา เขาจึงจะเกิดความพึงพอใจกฎเกณฑ์ข้อนี้เป็นเงื่อนไขที่สำคัญมากในการสร้างให้เกิดมนุษยสัมพันธ์
เป็นการยากที่จะชี้ชัดลงไปว่าการสร้างความสัมพันธ์นั้นเป็นการง่ายหรือยาก แต่ทุกคนสามารถ “สร้างความสัมพันธ์” ได้ถ้าปรารถนาจะสร้างเคล็ดลับอยู่ที่ว่าต้องรู้เขารู้เราประเพณี วัฒนธรรม ปรับกายใจของเราโดยไม่ทิฐิฝึกเป็นนิสัย ควรสร้างความสัมพันธ์กับทุกชนชั้น ในลักษณะที่ดีที่เรียกกันว่า “มนุษยสัมพันธ์” โดยเฉพาะมนุษยสัมพันธ์ ซึ่งเกียวข้องกับการบริหารงานบุคคลและพัฒนาองค์กร
มนุษยสัมพันธ์มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการบริหารงาน มนุษยสัมพันธ์เริ่มต้นที่ตัวบุคคลแต่ละคน ผู้ที่จะเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีจะต้องเป็นผู้ที่ได้ฝึกหัดปฏิบัติจนชำนาญ คุ้นเคย เป็นปกตินิสัยประกอบกับพื้นฐานพัฒนาการของชีวิต และบุคลิกภาพเป็นปัจจัยสนับสนุนส่งเสริม เพียงแต่สัมพันธ์ได้ครั้งหนึ่งแล้ว
มนุษยสัมพันธ์จะเกิดขึ้นกับตนเองได้อย่างไร
เป็นคำถามที่น่าสนใจ ชวนติดตามหาคำตอบ ซึ่งก็มีคำตอบให้ทุก ๆ ท่านนำมาเก็บไว้ในจิตใจแล้วว่า
ประเด็นแรกต้องมีความเข้าใจตนเอง
ประเด็นที่สองต้องมีความเข้าใจในผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้มาติดต่องาน ผู้ที่ทำงานร่วมกันทุกระดับ
ประเด็นที่สามต้องมีความเข้าใจในสิ่งแวดล้อมทั้งของเราและของเขา
ประเด็นที่สี่ต้องมีความเข้าใจวิธีการปรับตัวเราให้เข้ากับผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม
ประเด็นที่ห้า ต้องมีวิธีทำให้ผู้อื่นภูมิใจ มั่นใจในตนเอง
คาร์เนกี้ (Carnegie) ได้กล่าวไว้ว่า “ให้สิ่งที่เขาต้องการก่อน แล้วท่านจะได้สิ่งที่ท่านต้องการ” กล่าวสั้น ๆ ก็คือว่า “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” นั่นเอง
ให้ท่านท่านจักให้
นบท่านท่านจักปอง
รักท่านท่านควรครอง
สามสิ่งนี้เว้นไว้ ตอบสนอง
นอบไหว้
ความรัก เรามา
แต่ผู้ทรชน
นั่นคือ รักเขา เขาก็รักเรา ไหว้เขา เขาก็ไหว้เรา
หลักของคาร์เนกี้ (Carnegie) ดังกล่าวข้างต้นเป็นหลักมนุษยสัมพันธ์ซึ่งต้องพิจารณากันต่อไปว่า คนเราต้องการอะไร หรือ ดูว่าความต้องการของคนมีอะไรบ้าง เพื่อเราจะให้ได้ถูกต้อง
ดร.จอนห์ดิวอี้ นักปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวไว้ว่า “สิ่งกระตุ้นเตือนอย่างรุนแรงที่สุดแห่งธรรมชาติของมนุษย์ก็คือความปรารถนาที่จะเป็นคนสำคัญ”
การยกย่องบุคคลให้เขามีความรู้สึกว่าเป็นคนสำคัญ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปประกาศให้คนอื่น ๆทั่วไปรู้ก็ได้ แต่ใช้วิธีการแสดงออก เช่น การทักทายต่าง ๆ ด้วยคำพูด น้ำเสียง แสดงว่าเขามีความสำคัญ ต่อมาก็กลายเป็นวัฒนธรรม เช่น “ขอบพระคุณค่า” “ยินดีด้วยนะ” “ขอประทานโทษค่ะ” “ครับผม” “ท่าน” หรือการยิ้มแย้มต้อนรับ ตลอดจนการแสดงคารวะ เช่น โค้งหรือก้มศีรษะ การยกย่องกัน ให้เกียรติกัน ผู้ที่ได้รับการยกย่องจะรู้สึกมีความภูมิใจ และจะให้ความร่วมมือในกิจการงานต่าง ๆ ด้วยดีเสมอ
มนุษยสัมพันธ์มีหลักการใหญ่อยู่ที่การครองใจคน การทำให้คนเป็นมิตร ถือว่าเป็นศิลปะที่ลึกซึ้งสำหรับการดำรงชีวิตในสังคม การเข้าถึงจิตใจคนนั้นไม่มีวิถีทางใดที่ทำได้ดีกว่าอาศัยหลักธรรมแห่งพระพุทธศาสนาและหลักจิตวิทยา การทำงานถ้าขาดการครองใจคนเสียแล้ว กิจการนั้นก็ขาดความเจริญงอกงาม มนุษยสัมพันธ์จึงอยู่ที่การครองใจ การชนะใจคนเป็นส่วนใหญ่ การเข้าถึงจิตใจคน ทำอะไรถูกใจ และถึงใจคนจะนำความสำเร็จมาสู่ผู้ปฏิบัติอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบเท่า มนุษยสัมพันธ์จึงมีลักษณะเป็นกิริยาที่กระทำต่อกันของบุคคลแต่ละบุคคล และทุกคนที่ร่วมกันปฏิบัติงานอยู่ในแต่ละองค์การ
ดร.แอ็ดเลอร์ กล่าวว่า “บุคคลใดที่ละเว้นการเอาใจใส่ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไม่เพียงแต่เขาจะดำรงชีวิตโดยปราศจากความราบรื่น หากเขายังเป็นมนุษย์ที่มีอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่อผู้อื่นด้วย มนุษย์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้อยู่ห่างไกลจากความก้าวหน้าและความรุ่งเรืองในประการทั้งปวง” เราควรให้ความเอาใจใส่กับทุกคนที่เราจะคบ พยายามทักทายพูดคุยกับทุก ๆ คนเท่าที่เราสามารถจะกระทำได้ และไม่ว่าเขาจะเป็นบุคคลที่มีฐานะสูงหรือต่ำกว่าเรา พยายามรู้ข้อมูลในทางที่ดีของเขาและนำมาสรรเสริญ ชมเชยเขาตามโอกาสอันควร
การยิ้มแสดงถึงความสุข เป็นการแสดงไมตรีต่อและก่อให้เกิดความพอใจแก่ผู้พบเห็น จงพยายามฝึกที่จะให้เกิดจากจิตใจที่แท้จริง ไม่ใช่เป็นการยิ้มแต่กายใจไม่ยิ้ม เพราะการยิ้มทำให้คนที่พบเห็นเป็นสุขเขาก็จะให้สิ่งที่เป็นสุขแก่เราบ้าง ช่วยเสริมสร้างมิตรภาพอย่างมาก
ศ.วิลเลียมเจมส ์กล่าวว่า หลักสำคัญที่สุดแห่งธรรมชาติมนุษย์ก็คือ ความกระหายที่จะได้รับการยกย่อง นั่นก็คือ “จงปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นเดียวกับที่ท่านต้องการจะให้ผู้อื่นปฏิบิต่อท่าน จงทำเช่นนี้ ตลอดเวลาและทำทุกแห่งจนติดเป็นนิสัย”
การบริหารงานเป็นการทำงานร่วมกับผู้อื่นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของหน่วยงาน หรือองค์การ ดังนั้นเพื่อเสริมสร้างให้เกิดมนุษยสัมพันธ์ในหน่วยงาน ผู้บริหารควรทราบเกี่ยวกับศิลปะของการสร้างมนุษยสัมพันธ์ดังนี้ คือ
1) การปรับปรุงตัวเอง การที่จะมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีได้ ผู้บริหารควรจะปรับปรุงตัวเองให้เป็นที่น่านิยมยกย่องของผู้อื่น จึงจะทำให้ผู้อื่นอยากมาเข้าใกล้หรือติดต่อสัมพันธ์ด้วยการปรับปรุงตนเองนั้นต้องปรับปรุงทุกด้าน เช่น
- การปรับปรุงด้านร่างกาย (Physical Adaptation) รู้จักระวังรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ รวมทั้งการแต่งกายให้เหมาะสมกับกาลเทศะ จะเป็นการเสริมบุคลิกภาพให้น่าสนใจ เกิดความประทับใจทางกายภาพ
- การปรับปรุงทางด้านอารมณ์ (Enotional adaptation) ต้องพยายามปรับปรุงตนเองอย่าเป็นคนที่มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อย่างรวดเร็ว ควรจะมีอารมณ์หนักแน่น ผู้บริหารที่มีคุณสมบัต ิเช่นนี้จะทำให้เป็นที่สนใจแก่คนทั่วไป
- การปรับปรุงทางด้านสติปัญญา (Indeational Adaptation) ผู้บริหารควรเป็นผู้มีความรู้กว้างขวาง และรู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ยอมรับความคิดของผู้อื่นอย่างมีเหตุผล
- การปรับปรุงทางด้านอุดมคติ (Indeational Adaptation) การเปลี่ยนแปลงอุดมคติไปตามความจำเป็น เพื่อปรับปรุงให้เข้ากับเรื่องนั้น
2) การรู้จักจิตใจของผู้อื่น การรู้จักจิตใจของผู้อื่นและความต้องการของคนอื่นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะทุกคนชอบให้คล้อยตาม นอกจากนั้นทุกคนยังอยากให้คนอื่นสนใจ ผู้บริหารจึงควรให้ความสนใจแก่คนทุกคน เพื่อเป็นการให้กำลังใจ
3) การรู้จักคน เหตุที่ต้องรู้จักคนไว้ เพราะบุคคลมีหลายจำพวก แล้วแต่จะแบ่ง เช่น ประเภทก้าวร้าวชอบแสดงออก (Extravert) กับเก็บตัวไม่กล้าแสดงออก (Introvert) บางคนโมโหฉุนเฉียวง่าย บางคนขี้อายชอบเก็บตัว บางคนชอบงานสังคม บางคนขี้อิจฉาริษยา บางคนชอบเรียกร้องความปราน ผู้บริหารที่ดีต้องพยายามใช้ลักษณะต่าง ๆ ของเขาให้เป็นประโยชน์ เช่น คนชอบงานสังคมก็อาจให้ทำงานทางด้านประชาสัมพันธ์ เป็นต้น ความสุขใจ ความสบายใจ และความพอใจของคนในการทำงานจะมีหรือไม่กับบทท่าที และความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา หรือระหว่างผู้ใต้บังคับบัญชากับผู้บังคับบัญชา ถ้าทั้ง 2 ฝ่ายรู้ใจกันและกัน รู้ความต้องการของกันและกัน และเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างถูกต้องแล้ว ความสุขใจ ความสบายใจ และความพอใจซึ่งเป็นบรรยากาศที่ทุกคนปรารถนา ในการทำงานร่วมกัน จึงจะเกิดขึ้น ดังนั้นเพื่อมนุษยสัมพันธ์อันดีสำหรับหัวหน้างานหรือผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาควรปฏิบัติตนดังนี้
1. ปฏิบัติงานตามกฎหมายหรือระเบียบแบบแผนของหน่วยงานนั้น อย่าทำอะไรตามใจตนเองโดยไม่มีหลักการ แบบงานส่วนตัว
2. ไม่เป็นผู้วางอำนาจ หรือถืออำนาจว่าตนเป็นเจ้านายมีอำนาจในหมู่ ลูกน้องจะทำอะไรก็ได้ มักใช้อำนาจเกิดขอบเขตที่ตนมีอยู่
3. เป็นผู้ที่สนใจและเอาใจใส่ในการงาน คอยตรวจดูแลงานทุกขณะ สิ่งใดที่บกพร่องควรปรับปรุงแก้ไข ไม่ปล่อยให้งานเป็นไปตามยถากรรม
4. พยายามปรับปรุงงานที่ตนกำลังทำอยู่ให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ทันสมัย
5. ไม่แสดงออกในลักษณะเคร่งเครียดหรือเคร่งขรึมจนเกินไป เป็นผู้มีลักษณะสดชื่น มีอารมณ์เย็น หรืออารมณ์ขันในบางโอกาส แสดงออกซึ่งไมตรีจิตและมิตรภาพกับเพื่อนร่วมงาน
6. สั่งงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติ ต้องเป็นคำสั่งที่แน่นอนมีเหตุผลและปฏิบัติได้ไม่กำกวม หรือขัดต่อระเบียบ
7. ติดตามผลงานที่สั่งไปว่าดำเนินการได้ผลอย่างไรมีอะไรเป็นอุปสรรค
8. เป็นผู้รู้จักประนีประนอม ไม่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ผ่านเลยไป
9. อย่างเป็นคนเห็นแก่ได้ อย่าให้ถูกวิจารณ์ว่าเห็นแก่ของกำนัลจะเป็นการทำลายมนุษยสัมพันธ์เสียความยุติธรรม ทำลายจิตใจผู้อื่น
10. กล้ารับผิดในทันทีที่มีความเสียหายหรือความบกพร่องเกิดขึ้น
11. การปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ควรโกรธ โมโห ในกรณีนิสัยไม่ดี ควรเรียกมาว่ากล่าว ตักเตือน หรือหาวิธีแก้ไขโดยใช้วิธีสนทนาหรืออบรมเป็นรายบุคคล ถ้าเหตุการณ์ไม่ดีขึ้นก็ว่ากันไปตามระเบียบวินัย
12. เป็นผู้มีความอดทน หรือขันติธรรมเป็นพิเศษ
13. เป็นผู้สุจริตอย่างจริงใจ
14. เป็นคนไม่เล่นพวก ให้ความรักเมตตาต่อผู้ใต้บังคับบัญชาและคนทั่วไปในแนวทางความยุติธรรมสายกลาง อย่าสนับสนุนเฉพาะพวกของตน
15. เป็นผู้ที่รู้จักการเสียสละตามสมควรแก่อัตภาพ
16. เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย มิตรภาพที่มีอยู่กับเพื่อนฝูงอย่างไรเมื่อตำแหน่งสูง หรือใหญ่ขึ้นก็ควรรักษาไว้ในสภาพเดิม
17. รักเกียรติยศและศักดิ์ศรีของตน
18. ต้องระมัดระวังหลีกเลี่ยงการถูกวิจารณ์จากเพื่อนร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชา ในกรณีเป็นคนหูเบา เป็นคนขวางอำนาจ ไม่ยุติธรรม ไม่รับผิดชอบ อย่างแสดงว่ายากจนหรือมั่งมีเกินไป มีความเห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมงาน ถึงมีความรู้น้อยอย่างให้ลูกน้องดูถูก การสร้างความสัมพันธ์กับผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อความเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เมื่อต้องทำงานร่วมกันกับผู้ใต้บังคับบัญชา หรือคนงานพึงควรยึดถือหลักปฏิบัติตน สร้างและรักษามนุษยสัมพันธ์ให้มีอยู่ในองค์การในฐานะผู้บังคับบัญชา หน้าที่หลักใหญ่ ๆ คือการควบคุมสถานการณ์ทำงาน การดูแลและอำนวยความสะดวกให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำงานและการพัฒนาตัวบุคคล หากลูกน้องกับหัวหน้าไม่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันแล้ว งานก็จะไม่สำเร็จลุล่วงไปได้ ผู้เป็นหัวหน้างาน นอกจากจะเข้าใจในลักษณะของงานที่ได้รับมอบหมายแล้ว ยังต้องมีความเข้าใจถึงกลไกลในการทำงานของลูกน้องด้วย เพื่อส่งเสริมให้กำลังใจลูกน้องได้ทำงานอย่างเต็มความสามารถของแต่ละคน
การพิสูจน์ตนเองที่ดีอาศัยเวลาและการกระทำ
มิใช่คำอธิบายและเหตุผล
ความว้าเหว่เหมือนเสื้อผ้า กล้าสวมใส่ ย่อมได้
ประโยชน์คุณและโทษของทุกสิ่งอยู่ที่เรา
เราทำงานอย่าให้งานทำเรา ให้งานเป็นส่วนหนึ่ง
ของชีวิต อย่าใช้ชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของงาน
ร่าเริงเป็นยารักษา ความหวังเป็นยากระตุ้น
เมตตาเป็นยาบำรุง
แพ้เป็นบันได ชนะเป็นสะพาน
ประสบการณ์เป็นบทเรียน
เป็นการยากที่จะชี้ชัดลงไปว่าการสร้างความสัมพันธ์นั้นเป็นการง่ายหรือยาก แต่ทุกคนสามารถ “สร้างความสัมพันธ์” ได้ถ้าปรารถนาจะสร้างเคล็ดลับอยู่ที่ว่าต้องรู้เขารู้เราประเพณี วัฒนธรรม ปรับกายใจของเราโดยไม่ทิฐิฝึกเป็นนิสัย ควรสร้างความสัมพันธ์กับทุกชนชั้น ในลักษณะที่ดีที่เรียกกันว่า “มนุษยสัมพันธ์” โดยเฉพาะมนุษยสัมพันธ์ ซึ่งเกียวข้องกับการบริหารงานบุคคลและพัฒนาองค์กร
มนุษยสัมพันธ์มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการบริหารงาน มนุษยสัมพันธ์เริ่มต้นที่ตัวบุคคลแต่ละคน ผู้ที่จะเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีจะต้องเป็นผู้ที่ได้ฝึกหัดปฏิบัติจนชำนาญ คุ้นเคย เป็นปกตินิสัยประกอบกับพื้นฐานพัฒนาการของชีวิต และบุคลิกภาพเป็นปัจจัยสนับสนุนส่งเสริม เพียงแต่สัมพันธ์ได้ครั้งหนึ่งแล้ว
มนุษยสัมพันธ์จะเกิดขึ้นกับตนเองได้อย่างไร
เป็นคำถามที่น่าสนใจ ชวนติดตามหาคำตอบ ซึ่งก็มีคำตอบให้ทุก ๆ ท่านนำมาเก็บไว้ในจิตใจแล้วว่า
ประเด็นแรกต้องมีความเข้าใจตนเอง
ประเด็นที่สองต้องมีความเข้าใจในผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้มาติดต่องาน ผู้ที่ทำงานร่วมกันทุกระดับ
ประเด็นที่สามต้องมีความเข้าใจในสิ่งแวดล้อมทั้งของเราและของเขา
ประเด็นที่สี่ต้องมีความเข้าใจวิธีการปรับตัวเราให้เข้ากับผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม
ประเด็นที่ห้า ต้องมีวิธีทำให้ผู้อื่นภูมิใจ มั่นใจในตนเอง
คาร์เนกี้ (Carnegie) ได้กล่าวไว้ว่า “ให้สิ่งที่เขาต้องการก่อน แล้วท่านจะได้สิ่งที่ท่านต้องการ” กล่าวสั้น ๆ ก็คือว่า “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” นั่นเอง
ให้ท่านท่านจักให้
นบท่านท่านจักปอง
รักท่านท่านควรครอง
สามสิ่งนี้เว้นไว้ ตอบสนอง
นอบไหว้
ความรัก เรามา
แต่ผู้ทรชน
นั่นคือ รักเขา เขาก็รักเรา ไหว้เขา เขาก็ไหว้เรา
หลักของคาร์เนกี้ (Carnegie) ดังกล่าวข้างต้นเป็นหลักมนุษยสัมพันธ์ซึ่งต้องพิจารณากันต่อไปว่า คนเราต้องการอะไร หรือ ดูว่าความต้องการของคนมีอะไรบ้าง เพื่อเราจะให้ได้ถูกต้อง
ดร.จอนห์ดิวอี้ นักปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวไว้ว่า “สิ่งกระตุ้นเตือนอย่างรุนแรงที่สุดแห่งธรรมชาติของมนุษย์ก็คือความปรารถนาที่จะเป็นคนสำคัญ”
การยกย่องบุคคลให้เขามีความรู้สึกว่าเป็นคนสำคัญ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปประกาศให้คนอื่น ๆทั่วไปรู้ก็ได้ แต่ใช้วิธีการแสดงออก เช่น การทักทายต่าง ๆ ด้วยคำพูด น้ำเสียง แสดงว่าเขามีความสำคัญ ต่อมาก็กลายเป็นวัฒนธรรม เช่น “ขอบพระคุณค่า” “ยินดีด้วยนะ” “ขอประทานโทษค่ะ” “ครับผม” “ท่าน” หรือการยิ้มแย้มต้อนรับ ตลอดจนการแสดงคารวะ เช่น โค้งหรือก้มศีรษะ การยกย่องกัน ให้เกียรติกัน ผู้ที่ได้รับการยกย่องจะรู้สึกมีความภูมิใจ และจะให้ความร่วมมือในกิจการงานต่าง ๆ ด้วยดีเสมอ
มนุษยสัมพันธ์มีหลักการใหญ่อยู่ที่การครองใจคน การทำให้คนเป็นมิตร ถือว่าเป็นศิลปะที่ลึกซึ้งสำหรับการดำรงชีวิตในสังคม การเข้าถึงจิตใจคนนั้นไม่มีวิถีทางใดที่ทำได้ดีกว่าอาศัยหลักธรรมแห่งพระพุทธศาสนาและหลักจิตวิทยา การทำงานถ้าขาดการครองใจคนเสียแล้ว กิจการนั้นก็ขาดความเจริญงอกงาม มนุษยสัมพันธ์จึงอยู่ที่การครองใจ การชนะใจคนเป็นส่วนใหญ่ การเข้าถึงจิตใจคน ทำอะไรถูกใจ และถึงใจคนจะนำความสำเร็จมาสู่ผู้ปฏิบัติอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบเท่า มนุษยสัมพันธ์จึงมีลักษณะเป็นกิริยาที่กระทำต่อกันของบุคคลแต่ละบุคคล และทุกคนที่ร่วมกันปฏิบัติงานอยู่ในแต่ละองค์การ
ดร.แอ็ดเลอร์ กล่าวว่า “บุคคลใดที่ละเว้นการเอาใจใส่ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไม่เพียงแต่เขาจะดำรงชีวิตโดยปราศจากความราบรื่น หากเขายังเป็นมนุษย์ที่มีอันตรายอย่างใหญ่หลวงต่อผู้อื่นด้วย มนุษย์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้อยู่ห่างไกลจากความก้าวหน้าและความรุ่งเรืองในประการทั้งปวง” เราควรให้ความเอาใจใส่กับทุกคนที่เราจะคบ พยายามทักทายพูดคุยกับทุก ๆ คนเท่าที่เราสามารถจะกระทำได้ และไม่ว่าเขาจะเป็นบุคคลที่มีฐานะสูงหรือต่ำกว่าเรา พยายามรู้ข้อมูลในทางที่ดีของเขาและนำมาสรรเสริญ ชมเชยเขาตามโอกาสอันควร
การยิ้มแสดงถึงความสุข เป็นการแสดงไมตรีต่อและก่อให้เกิดความพอใจแก่ผู้พบเห็น จงพยายามฝึกที่จะให้เกิดจากจิตใจที่แท้จริง ไม่ใช่เป็นการยิ้มแต่กายใจไม่ยิ้ม เพราะการยิ้มทำให้คนที่พบเห็นเป็นสุขเขาก็จะให้สิ่งที่เป็นสุขแก่เราบ้าง ช่วยเสริมสร้างมิตรภาพอย่างมาก
ศ.วิลเลียมเจมส ์กล่าวว่า หลักสำคัญที่สุดแห่งธรรมชาติมนุษย์ก็คือ ความกระหายที่จะได้รับการยกย่อง นั่นก็คือ “จงปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นเดียวกับที่ท่านต้องการจะให้ผู้อื่นปฏิบิต่อท่าน จงทำเช่นนี้ ตลอดเวลาและทำทุกแห่งจนติดเป็นนิสัย”
การบริหารงานเป็นการทำงานร่วมกับผู้อื่นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของหน่วยงาน หรือองค์การ ดังนั้นเพื่อเสริมสร้างให้เกิดมนุษยสัมพันธ์ในหน่วยงาน ผู้บริหารควรทราบเกี่ยวกับศิลปะของการสร้างมนุษยสัมพันธ์ดังนี้ คือ
1) การปรับปรุงตัวเอง การที่จะมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีได้ ผู้บริหารควรจะปรับปรุงตัวเองให้เป็นที่น่านิยมยกย่องของผู้อื่น จึงจะทำให้ผู้อื่นอยากมาเข้าใกล้หรือติดต่อสัมพันธ์ด้วยการปรับปรุงตนเองนั้นต้องปรับปรุงทุกด้าน เช่น
- การปรับปรุงด้านร่างกาย (Physical Adaptation) รู้จักระวังรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ รวมทั้งการแต่งกายให้เหมาะสมกับกาลเทศะ จะเป็นการเสริมบุคลิกภาพให้น่าสนใจ เกิดความประทับใจทางกายภาพ
- การปรับปรุงทางด้านอารมณ์ (Enotional adaptation) ต้องพยายามปรับปรุงตนเองอย่าเป็นคนที่มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อย่างรวดเร็ว ควรจะมีอารมณ์หนักแน่น ผู้บริหารที่มีคุณสมบัต ิเช่นนี้จะทำให้เป็นที่สนใจแก่คนทั่วไป
- การปรับปรุงทางด้านสติปัญญา (Indeational Adaptation) ผู้บริหารควรเป็นผู้มีความรู้กว้างขวาง และรู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ยอมรับความคิดของผู้อื่นอย่างมีเหตุผล
- การปรับปรุงทางด้านอุดมคติ (Indeational Adaptation) การเปลี่ยนแปลงอุดมคติไปตามความจำเป็น เพื่อปรับปรุงให้เข้ากับเรื่องนั้น
2) การรู้จักจิตใจของผู้อื่น การรู้จักจิตใจของผู้อื่นและความต้องการของคนอื่นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะทุกคนชอบให้คล้อยตาม นอกจากนั้นทุกคนยังอยากให้คนอื่นสนใจ ผู้บริหารจึงควรให้ความสนใจแก่คนทุกคน เพื่อเป็นการให้กำลังใจ
3) การรู้จักคน เหตุที่ต้องรู้จักคนไว้ เพราะบุคคลมีหลายจำพวก แล้วแต่จะแบ่ง เช่น ประเภทก้าวร้าวชอบแสดงออก (Extravert) กับเก็บตัวไม่กล้าแสดงออก (Introvert) บางคนโมโหฉุนเฉียวง่าย บางคนขี้อายชอบเก็บตัว บางคนชอบงานสังคม บางคนขี้อิจฉาริษยา บางคนชอบเรียกร้องความปราน ผู้บริหารที่ดีต้องพยายามใช้ลักษณะต่าง ๆ ของเขาให้เป็นประโยชน์ เช่น คนชอบงานสังคมก็อาจให้ทำงานทางด้านประชาสัมพันธ์ เป็นต้น ความสุขใจ ความสบายใจ และความพอใจของคนในการทำงานจะมีหรือไม่กับบทท่าที และความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา หรือระหว่างผู้ใต้บังคับบัญชากับผู้บังคับบัญชา ถ้าทั้ง 2 ฝ่ายรู้ใจกันและกัน รู้ความต้องการของกันและกัน และเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างถูกต้องแล้ว ความสุขใจ ความสบายใจ และความพอใจซึ่งเป็นบรรยากาศที่ทุกคนปรารถนา ในการทำงานร่วมกัน จึงจะเกิดขึ้น ดังนั้นเพื่อมนุษยสัมพันธ์อันดีสำหรับหัวหน้างานหรือผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาควรปฏิบัติตนดังนี้
1. ปฏิบัติงานตามกฎหมายหรือระเบียบแบบแผนของหน่วยงานนั้น อย่าทำอะไรตามใจตนเองโดยไม่มีหลักการ แบบงานส่วนตัว
2. ไม่เป็นผู้วางอำนาจ หรือถืออำนาจว่าตนเป็นเจ้านายมีอำนาจในหมู่ ลูกน้องจะทำอะไรก็ได้ มักใช้อำนาจเกิดขอบเขตที่ตนมีอยู่
3. เป็นผู้ที่สนใจและเอาใจใส่ในการงาน คอยตรวจดูแลงานทุกขณะ สิ่งใดที่บกพร่องควรปรับปรุงแก้ไข ไม่ปล่อยให้งานเป็นไปตามยถากรรม
4. พยายามปรับปรุงงานที่ตนกำลังทำอยู่ให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ทันสมัย
5. ไม่แสดงออกในลักษณะเคร่งเครียดหรือเคร่งขรึมจนเกินไป เป็นผู้มีลักษณะสดชื่น มีอารมณ์เย็น หรืออารมณ์ขันในบางโอกาส แสดงออกซึ่งไมตรีจิตและมิตรภาพกับเพื่อนร่วมงาน
6. สั่งงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติ ต้องเป็นคำสั่งที่แน่นอนมีเหตุผลและปฏิบัติได้ไม่กำกวม หรือขัดต่อระเบียบ
7. ติดตามผลงานที่สั่งไปว่าดำเนินการได้ผลอย่างไรมีอะไรเป็นอุปสรรค
8. เป็นผู้รู้จักประนีประนอม ไม่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ผ่านเลยไป
9. อย่างเป็นคนเห็นแก่ได้ อย่าให้ถูกวิจารณ์ว่าเห็นแก่ของกำนัลจะเป็นการทำลายมนุษยสัมพันธ์เสียความยุติธรรม ทำลายจิตใจผู้อื่น
10. กล้ารับผิดในทันทีที่มีความเสียหายหรือความบกพร่องเกิดขึ้น
11. การปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ควรโกรธ โมโห ในกรณีนิสัยไม่ดี ควรเรียกมาว่ากล่าว ตักเตือน หรือหาวิธีแก้ไขโดยใช้วิธีสนทนาหรืออบรมเป็นรายบุคคล ถ้าเหตุการณ์ไม่ดีขึ้นก็ว่ากันไปตามระเบียบวินัย
12. เป็นผู้มีความอดทน หรือขันติธรรมเป็นพิเศษ
13. เป็นผู้สุจริตอย่างจริงใจ
14. เป็นคนไม่เล่นพวก ให้ความรักเมตตาต่อผู้ใต้บังคับบัญชาและคนทั่วไปในแนวทางความยุติธรรมสายกลาง อย่าสนับสนุนเฉพาะพวกของตน
15. เป็นผู้ที่รู้จักการเสียสละตามสมควรแก่อัตภาพ
16. เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย มิตรภาพที่มีอยู่กับเพื่อนฝูงอย่างไรเมื่อตำแหน่งสูง หรือใหญ่ขึ้นก็ควรรักษาไว้ในสภาพเดิม
17. รักเกียรติยศและศักดิ์ศรีของตน
18. ต้องระมัดระวังหลีกเลี่ยงการถูกวิจารณ์จากเพื่อนร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชา ในกรณีเป็นคนหูเบา เป็นคนขวางอำนาจ ไม่ยุติธรรม ไม่รับผิดชอบ อย่างแสดงว่ายากจนหรือมั่งมีเกินไป มีความเห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมงาน ถึงมีความรู้น้อยอย่างให้ลูกน้องดูถูก การสร้างความสัมพันธ์กับผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อความเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เมื่อต้องทำงานร่วมกันกับผู้ใต้บังคับบัญชา หรือคนงานพึงควรยึดถือหลักปฏิบัติตน สร้างและรักษามนุษยสัมพันธ์ให้มีอยู่ในองค์การในฐานะผู้บังคับบัญชา หน้าที่หลักใหญ่ ๆ คือการควบคุมสถานการณ์ทำงาน การดูแลและอำนวยความสะดวกให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำงานและการพัฒนาตัวบุคคล หากลูกน้องกับหัวหน้าไม่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันแล้ว งานก็จะไม่สำเร็จลุล่วงไปได้ ผู้เป็นหัวหน้างาน นอกจากจะเข้าใจในลักษณะของงานที่ได้รับมอบหมายแล้ว ยังต้องมีความเข้าใจถึงกลไกลในการทำงานของลูกน้องด้วย เพื่อส่งเสริมให้กำลังใจลูกน้องได้ทำงานอย่างเต็มความสามารถของแต่ละคน
การพิสูจน์ตนเองที่ดีอาศัยเวลาและการกระทำ
มิใช่คำอธิบายและเหตุผล
ความว้าเหว่เหมือนเสื้อผ้า กล้าสวมใส่ ย่อมได้
ประโยชน์คุณและโทษของทุกสิ่งอยู่ที่เรา
เราทำงานอย่าให้งานทำเรา ให้งานเป็นส่วนหนึ่ง
ของชีวิต อย่าใช้ชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของงาน
ร่าเริงเป็นยารักษา ความหวังเป็นยากระตุ้น
เมตตาเป็นยาบำรุง
แพ้เป็นบันได ชนะเป็นสะพาน
ประสบการณ์เป็นบทเรียน
30 ข้อคิดในการใช้ชีวิต
1. อย่าทำลายความหวังของใคร เพราะเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้น
2. เมื่อมีคนเล่าว่า เขามีส่วนในเหตุการณ์สำคัญอะไรก็ตาม เราไม่ต้องไปคุยทับ ปล่อยเขาฟุ้งไปตาม สบาย
3. รู้จักฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่วๆเหมือนกัน
4. หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ซึ่งอยู่ตามริมทางเสียบ้าง
5. จะคิดการใด จงคิดการให้ใหญ่ๆ เข้าไว้ แต่เติมความสุข สนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย
6. หัดทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่นจนเป็นนิสัย โดยไม่จำเป็นต้องให้เขารู้
7. จำไว้ว่าข่าวทุกชนิดล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น
8. เวลาเล่นเกมกับเด็กๆ ก็ปล่อยให้แกชนะไปเถอะ
9. ใครจะวิจารณ์เรายังไงก็ช่าง ไม่ต้องไปเสียเวลาตอบโต้
10. ให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ "สอง" แต่อย่าให้ถึง "สาม"
11. อย่าวิจารณ์นายจ้าง ถ้าทำงานกับเขาแล้วไม่มีความสุข ก็ลาออกซะ
12. ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้ว อะไรๆ มันก็ไม่สำคัญอย่างที่คิดไว้ทีแ รกหรอก
13. ใช้เวลาน้อยๆในการคิดว่า "ใคร" เป็นคนถูก แต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า "อะไร" คือสิ่งที่ถูก
14. เราไม่ได้ต่อสู้กับ "คนโหดร้าย" แต่เราต่อสู้กับ "ความโหดร้าย" ในตัวคน
15. คิดให้รอบคอบก่อนจะให้เพื่อนต้องมีภาระในการรักษาความลับ
16. เมื่อมีใครสวมกอดคุณ ให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยก่อน
17. ยอมที่จะแพ้ในสงครามย่อยๆ เมื่อการแพ้นั้นจะทำให้เราชนะสงครามใหญ่
18. เป็นคนถ่อมตน ...คนเขาทำอะไรต่ออะไรสำเร็จกันมามากมายแล้วตั้งแต่เรายังไม่เกิด
19. ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายเพียงใด ...สุขุมเยือกเย็นเข้าไว้
20. อย่าไปหวังเลยว่าชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม
21. อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นเขาเบื่อหน่าย ถ้ามีใครมาถามเราว่า "เป็นอย่างไรบ้างตอน
นี้" ก็ ตอบเขาไปเลยว่า "สบายมาก"
22. อย่าพูดว่ามีเวลาไม่พอ เพราะเวลาที่คุณมีมันก็วันละ 24 ชั่วโมง เท่าๆ กับ หลุยส์ ปาสเตอร์, ไมเคิลแอนเจลโล, แม่ชีเทเรซา, ลีโอนาร์โด ดา วินซี, ทอมัส เจฟเฟอร์สัน หรือ อัลเบิร์ต ไอสไตน์ ที่เขามีนั่นเอง
23. เป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยว เมื่อเหลียวกลับไปดูอดีต เราจะเสียใจในสิ่งที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำ มากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว
24. ประเมินตนเองด้วยมาตราฐานของตัวเอง ไม่ใช่ด้วยมาตราฐานของคนอื่น
25. จริงจังและเคี่ยวเข็ญตนเอง แต่อ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น
26. อย่าระดมสมอง เพราะไอเดียดีๆ ใหม่ๆ และยิ่งใหญ่จนสามารถเปลียนแปลงโลกได้ ล้วนมาจาก บุคคลที่คิดค้นอยู่แต่เพียงผู้เดียวทั้งสิ้น
27. คงไว้ซึ่งความเป็นคนเปิดเผย อ่อนโยน และอยากรู้อยากเห็น (มิใช่สอดรู้สอดเห็น)
28. ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ว่างานนั้นจะกระจอกงอกง่อยสักปานใด
29. คำนึงถึงการมีชีวิตให้ "กว้างขวาง" มากกว่าการมีชีวิตให้ "ยืนยาว"
30. มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ
2. เมื่อมีคนเล่าว่า เขามีส่วนในเหตุการณ์สำคัญอะไรก็ตาม เราไม่ต้องไปคุยทับ ปล่อยเขาฟุ้งไปตาม สบาย
3. รู้จักฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่วๆเหมือนกัน
4. หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ซึ่งอยู่ตามริมทางเสียบ้าง
5. จะคิดการใด จงคิดการให้ใหญ่ๆ เข้าไว้ แต่เติมความสุข สนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย
6. หัดทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่นจนเป็นนิสัย โดยไม่จำเป็นต้องให้เขารู้
7. จำไว้ว่าข่าวทุกชนิดล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น
8. เวลาเล่นเกมกับเด็กๆ ก็ปล่อยให้แกชนะไปเถอะ
9. ใครจะวิจารณ์เรายังไงก็ช่าง ไม่ต้องไปเสียเวลาตอบโต้
10. ให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ "สอง" แต่อย่าให้ถึง "สาม"
11. อย่าวิจารณ์นายจ้าง ถ้าทำงานกับเขาแล้วไม่มีความสุข ก็ลาออกซะ
12. ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้ว อะไรๆ มันก็ไม่สำคัญอย่างที่คิดไว้ทีแ รกหรอก
13. ใช้เวลาน้อยๆในการคิดว่า "ใคร" เป็นคนถูก แต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า "อะไร" คือสิ่งที่ถูก
14. เราไม่ได้ต่อสู้กับ "คนโหดร้าย" แต่เราต่อสู้กับ "ความโหดร้าย" ในตัวคน
15. คิดให้รอบคอบก่อนจะให้เพื่อนต้องมีภาระในการรักษาความลับ
16. เมื่อมีใครสวมกอดคุณ ให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยก่อน
17. ยอมที่จะแพ้ในสงครามย่อยๆ เมื่อการแพ้นั้นจะทำให้เราชนะสงครามใหญ่
18. เป็นคนถ่อมตน ...คนเขาทำอะไรต่ออะไรสำเร็จกันมามากมายแล้วตั้งแต่เรายังไม่เกิด
19. ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายเพียงใด ...สุขุมเยือกเย็นเข้าไว้
20. อย่าไปหวังเลยว่าชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม
21. อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นเขาเบื่อหน่าย ถ้ามีใครมาถามเราว่า "เป็นอย่างไรบ้างตอน
นี้" ก็ ตอบเขาไปเลยว่า "สบายมาก"
22. อย่าพูดว่ามีเวลาไม่พอ เพราะเวลาที่คุณมีมันก็วันละ 24 ชั่วโมง เท่าๆ กับ หลุยส์ ปาสเตอร์, ไมเคิลแอนเจลโล, แม่ชีเทเรซา, ลีโอนาร์โด ดา วินซี, ทอมัส เจฟเฟอร์สัน หรือ อัลเบิร์ต ไอสไตน์ ที่เขามีนั่นเอง
23. เป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยว เมื่อเหลียวกลับไปดูอดีต เราจะเสียใจในสิ่งที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำ มากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว
24. ประเมินตนเองด้วยมาตราฐานของตัวเอง ไม่ใช่ด้วยมาตราฐานของคนอื่น
25. จริงจังและเคี่ยวเข็ญตนเอง แต่อ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น
26. อย่าระดมสมอง เพราะไอเดียดีๆ ใหม่ๆ และยิ่งใหญ่จนสามารถเปลียนแปลงโลกได้ ล้วนมาจาก บุคคลที่คิดค้นอยู่แต่เพียงผู้เดียวทั้งสิ้น
27. คงไว้ซึ่งความเป็นคนเปิดเผย อ่อนโยน และอยากรู้อยากเห็น (มิใช่สอดรู้สอดเห็น)
28. ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ว่างานนั้นจะกระจอกงอกง่อยสักปานใด
29. คำนึงถึงการมีชีวิตให้ "กว้างขวาง" มากกว่าการมีชีวิตให้ "ยืนยาว"
30. มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ
หนังสั้น
หนังสั้น คือ หนังยาวที่สั้น ก็คือการเล่าเรื่องด้วยภาพและเสียงที่มีประเด็นเดียวสั้น ๆ แต่ได้ใจความ
ศิลปะการเล่าเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นนิทาน นิยาย ละคร หรือภาพยนตร์ ล้วนแล้วแต่มีรากฐานแบบเดียวกัน นั่นคือ การเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นของมนุษย์หรือสัตว์ หรือแม้แต่อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นช่วงเวลาหนึ่งเวลาใด ณ สถานที่ใดที่หนึ่งเสมอ ฉะนั้น องค์ประกอบที่สำคัญที่ขาดไม่ได้คือ ตัวละคร สถานที่ และเวลา
สิ่งที่สำคัญในการเขียนบทหนังสั้นก็คือ การเริ่มค้นหาวัตถุดิบหรือแรงบันดาลใจให้ได้ ว่าเราอยากจะพูด จะนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับอะไร ตัวเราเองมีแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ อย่างไร ซึ่งแรงบันดาลใจในการเขียนบทที่เราสามารถนำมาใช้ได้ก็คือ ตัวละคร แนวความคิด และเหตุการณ์ และควรจะมองหาวัตถุดิบในการสร้างเรื่องให้แคบอยู่ในสิ่งที่เรารู้สึก รู้จริง เพราะคนทำหนังสั้นส่วนใหญ่ มักจะทำเรื่องที่ไกลตัวหรือไม่ก็ไกลเกินไปจนทำให้เราไม่สามารถจำกัดขอบเขตได้
เมื่อเราได้เรื่องที่จะเขียนแล้วเราก็ต้องนำเรื่องราวที่ได้มาเขียน Plot (โครงเรื่อง) ว่าใคร ทำอะไร กับใคร อย่างไร ที่ไหน เมื่อไร เพราะอะไร และได้ผลลัพธ์อย่างไร ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ข้อมูล หรือวัตถุดิบที่เรามีอยู่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคนว่ามีแนวคิดมุมมองต่อชีวิตคนอย่างไร เพราะความเข้าใจในมนุษย์ ยิ่งเราเข้าใจมากเท่าไร เราก็ยิ่งทำหนังได้ลึกมากขึ้นเท่านั้น
และเมื่อเราได้เรื่อง ได้โครงเรื่องมาเรียบร้อยแล้ว เราก็นำมาเป็นรายละเอียดของฉาก ว่ามีกี่ฉากในแต่ละฉากมีรายละเอียดอะไรบ้าง เช่นมีใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร ไปเรื่อย ๆ จนจบเรื่อง ซึ่งความจริงแล้วขั้นตอนการเขียนบทไม่ได้มีอะไรยุ่งยากมากมาย เพราะมีการกำหนดเป็นแบบแผนไว้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ยาก มาก ๆ ก็คือกระบวนการคิด ว่าคิดอย่างไรให้ลึกซึ้ง คิดอย่างไรให้สมเหตุสมผล ซึ่งวิธีคิดเหล่านี้ไม่มีใครสอนกันได้ทุกคน ต้องค้นหาวิธีลองผิดลองถูก จนกระทั่ง ค้นพบวิธีคิดของตัวเอง
การเตรียมการและการเขียนบทภาพยนตร์
การเขียนบทภาพยนตร์เริ่มต้นที่ไหน เป็นคำถามที่มักจะได้ยินเสมอสำหรับผู้ที่เริ่มหัดเขียนบทภาพยนตร์ใหม่ ๆ เช่น ควรเริ่มช็อตแรก เห็นยานอวกาศลำใหญ่แล่นเข้ามาขอบเฟรมบนแล้วเลยไปสู่แกแล็กซี่เบื้องหน้าเพื่อให้เห็นความยิ่งใหญ่ของจักรวาล หรือเริ่มต้นด้วยรถที่ขับไล่ล่ากันกลางเมืองเพื่อสร้างความตื่นเต้นดี หรือเริ่มต้นด้วยความเงียบมีเสียงหัวใจเต้นตึกตัก ๆ ดี หรือเริ่มต้นด้วยความฝันหรือเริ่มต้นที่ตัวละครหรือเหตุการณ์ดี เหล่านี้เป็นต้น บางคนบอกว่ามีโครงเรื่องดี ๆ แต่ไม่ทราบว่าจะเริ่มอย่างไร
การเริ่มต้นเขียนบทภาพยนตร์ เราต้องมีเป้าหมายหลักหรือเนื้อหาเป็นจุดเริ่มต้นการเขียน เราเรียกว่าประเด็น (Subject) ของเรื่อง ที่ต้องชัดเจนแน่นอน มีตัวละครและแอ็คชั่น ดังนั้น นักเขียนควรเริ่มต้นจากจุดนี้พร้อมด้วยโครงสร้าง (Structure) ของบทภาพยนตร์
ประเด็นอาจเป็นสิ่งที่ง่าย ๆ เช่น มนุษย์ต่างดาวเข้ามาเยือนโลกแล้วพลัดพลาดจากยานอวกาศของตน ไม่สามารถกลับดวงดาวของตัวเองได้ จนกระทั่งมีเด็ก ๆ ไปพบเข้าจึงกลายเป็นเพื่อนรักกัน และช่วยพาหลบหนีจากอันตรายกลับไปยังยานของตนได้ นี่คือเรื่อง E.T. – The Extra-Terrestrial (1982) หรือประเด็นเป็นเรื่องของนักมวยแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทที่สูญเสียตำแหน่งและต้องการเอากลับคืนมา คือเรื่อง Rocky III หรือนักโบราณคดีค้นพบโบราณวัตถุสำคัญที่หายไปหลายศตวรรษ คือเรื่อง Raider of the Lost Ark (1981) เป็นต้น
การคิดประเด็นของเรื่องในบทภาพยนตร์ของเราว่าคืออะไร ให้กรองแนวความคิดจนเหลือจุดที่สำคัญมุ่งไปที่ตัวละครและแอ็คชั่น แล้วเขียนให้ได้สัก 2-3 ประโยค ไม่ควรมากกว่านี้ และที่สำคัญไม่ควรกังวลในจุดนี้ว่าจะต้องทำให้บทภาพยนตร์ของเราถูกต้องในแง่ของเรื่องราว แต่ควรให้มันพัฒนาไปตามแนวทางของขั้นตอนการเขียนจะดีกว่า
สิ่งแรกที่เราควรฝึกเขียนคือต้องบอกให้ได้ว่าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร เช่น เรื่องเกี่ยวกับความดีและความชั่วร้าย หรือเกี่ยวกับความรักของหนุ่มชาวกรุงกับหญิงบ้านนอก ความพยาบาทของปีศาจสาวที่ถูกฆาตกรรม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความคิดที่ยังขาดแง่มุมของการเขียนว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป จึงต้องชัดเจนมากกว่านี้ โดยเริ่มที่ตัวละครหลักและแอ็คชั่น ดังนั้นประเด็นของเรื่องจึงเป็นสิ่งสำคัญของจุดเริ่มต้นการเขียนบทภาพยนตร์
อย่างไรก็ตาม การเขียนบทภาพยนตร์สำหรับนักเขียนหน้าใหม่ ควรค้นหาสิ่งที่น่าสนใจจากสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวของนักเขียนเอง เขียงเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองรู้ ทำให้ได้รายละเอียดในเชิงลึกของเนื้อหา เกิดความจริง สร้างความตื่นตะลึงได้ เช่นเรื่องในครอบครัว เรื่องของเพื่อนบ้าน เรื่องในที่ทำงาน ของตนเอง เรื่องในหนังสือพิมพ์รายวัน เป็นต้น
ดังนั้นขั้นตอนสำหรับการเขียนบทภาพยนตร์สามารถสรุปได้คือ
1. การค้นคว้าหาข้อมูล (research) เป็นขั้นตอนการเขียนบทภาพยนตร์อันดับแรกที่ต้องทำถือเป็นสิ่งสำคัญหลังจากเราพบประเด็นของเรื่องแล้ว จึงลงมือค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อเสริมรายละเอียดเรื่องราวที่ถูกต้อง จริง ชัดเจน และมีมิติมากขึ้น คุณภาพของภาพยนตร์จะดีหรือไม่จึงอยู่ที่การค้นคว้าหาข้อมูล ไม่ว่าภาพยนตร์นั้นจะมีเนื้อหาใดก็ตาม
2. การกำหนดประโยคหลักสำคัญ (premise) หมายถึงความคิดหรือแนวความคิดที่ง่าย ๆ ธรรมดา ส่วนใหญ่มักใช้ตั้งคำถามว่า “เกิดอะไรขึ้นถ้า...” (what if) ตัวอย่างของ premise ตามรูปแบบหนังฮอลลีวู้ด เช่น เกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องโรเมโอ & จูเลียตเกิดขึ้นในนิวยอร์ค คือ เรื่อง West Side Story, เกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ดาวอังคารบุกโลก คือเรื่อง The Invasion of Mars, เกิดอะไรขึ้นถ้าก็อตซิล่าบุกนิวยอร์ค คือเรื่อง Godzilla, เกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ต่างดาวบุกโลก คือเรื่อง The Independence Day, เกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องโรเมโอ & จูเลียตเกิดขึ้นบนเรือไททานิค คือเรื่อง Titanic เป็นต้น
3. การเขียนเรื่องย่อ (synopsis) คือเรื่องย่อขนาดสั้น ที่สามารถจบลงได้ 3-4 บรรทัด หรือหนึ่งย่อหน้า หรืออาจเขียนเป็น story outline เป็นร่างหลังจากที่เราค้นคว้าหาข้อมูลแล้วก่อนเขียนเป็นโครงเรื่องขยาย (treatment)
4. การเขียนโครงเรื่องขยาย (treatment) เป็นการเขียนคำอธิบายของโครงเรื่อง (plot) ในรูปแบบของเรื่องสั้น โครงเรื่องขยายอาจใช้สำหรับเป็นแนวทางในการเขียนบทภาพยนตร์ที่สมบูรณ์ บางครั้งอาจใช้สำหรับยื่นของบประมาณได้ด้วย และการเขียนโครงเรื่องขยายที่ดีต้องมีประโยคหลักสำหคัญ (premise) ที่ง่าย ๆ น่าสนใจ
5. บทภาพยนตร์ (screenplay) สำหรับภาพยนตร์บันเทิง หมายถึง บท (script) ซีเควนส์หลัก (master scene/sequence)หรือ ซีนาริโอ (scenario) คือ บทภาพยนตร์ที่มีโครงเรื่อง บทพูด แต่มีความสมบูรณ์น้อยกว่าบทถ่ายทำ (shooting script) เป็นการเล่าเรื่องที่ได้พัฒนามาแล้วอย่างมีขั้นตอน ประกอบ ด้วยตัวละครหลักบทพูด ฉาก แอ็คชั่น ซีเควนส์ มีรูปแบบการเขียนที่ถูกต้อง เช่น บทสนทนาอยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษฉาก เวลา สถานที่ อยู่ชิดขอบหน้าซ้ายกระดาษ ไม่มีตัวเลขกำกับช็อต และโดยหลักทั่วไปบทภาพยนตร์หนึ่งหน้ามีความยาวหนึ่งนาที
6. บทถ่ายทำ (shooting script) คือบทภาพยนตร์ที่เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการเขียน บทถ่ายทำจะบอกรายละเอียดเพิ่มเติมจากบทภาพยนตร์ (screenplay) ได้แก่ ตำแหน่งกล้อง การเชื่อมช็อต เช่น คัท (cut) การเลือนภาพ (fade) การละลายภาพ หรือการจางซ้อนภาพ (dissolve) การกวาดภาพ (wipe) ตลอดจนการใช้ภาพพิเศษ (effect) อื่น ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเลขลำดับช็อตกำกับเรียงตามลำดับตั้งแต่ช็อตแรกจนกระทั่งจบเรื่อง
7. บทภาพ (storyboard) คือ บทภาพยนตร์ประเภทหนึ่งที่อธิบายด้วยภาพ คล้ายหนังสือการ์ตูน ให้เห็นความต่อเนื่องของช็อตตลอดทั้งซีเควนส์หรือทั้งเรื่องมีคำอธิบายภาพประกอบ เสียงต่าง ๆ เช่น เสียงดนตรี เสียงประกอบฉาก และเสียงพูด เป็นต้น ใช้เป็นแนวทางสำหรับการถ่ายทำ หรือใช้เป็นวิธีการคาดคะเนภาพล่วงหน้า (pre-visualizing) ก่อนการถ่ายทำว่า เมื่อถ่ายทำสำเร็จแล้ว หนังจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งบริษัทของ Walt Disney นำมาใช้กับการผลิตภาพยนตร์การ์ตูนของบริษัทเป็นครั้งแรก โดยเขียนภาพ เหตุการณ์ของแอ็คชั่นเรียงติดต่อกันบนบอร์ด เพื่อให้คนดูเข้าใจและมองเห็นเรื่องราวล่วงหน้าได้ก่อนลงมือเขียนภาพ ส่วนใหญ่บทภาพจะมีเลขที่ลำดับช็อตกำกับไว้ คำบรรยายเหตุการณ์ มุมกล้อง และอาจมีเสียงประกอบด้วย
การเขียนบทภาพยนตร์จากเรื่องสั้น
การเขียนบทอาจเป็นเรื่องที่นำมาจากเรื่องจริง เรื่องดัดแปลง ข่าว เรื่องที่อยู่รอบ ๆ ตัว นวนิยาย เรื่องสั้น หรือได้แรงบันดาลใจจากความประทับใจในเรื่องราวหรือบางสิ่งที่คนเขียนบทได้สัมผัส เช่น ดนตรี บทเพลง บทกวี ภาพเขียน และอื่น ๆ ซึ่งบทภาพยนตร์ต่อไปนี้ได้แปลมาจากเรื่องสั้นในนิตยสาร The Mississippi Review โดย Robert Olen Butler เรื่อง Salem แต่ในที่นี้จะไม่กล่าวถึงมาตรฐานรูปแบบการเขียนบทภาพยนตร์ว่ามีการเขียนและการจัดหน้าอย่างไร ขอให้ศึกษาได้ใบทภาพยนตร์โดยทั่วไป
ศิลปะการเล่าเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นนิทาน นิยาย ละคร หรือภาพยนตร์ ล้วนแล้วแต่มีรากฐานแบบเดียวกัน นั่นคือ การเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นของมนุษย์หรือสัตว์ หรือแม้แต่อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นช่วงเวลาหนึ่งเวลาใด ณ สถานที่ใดที่หนึ่งเสมอ ฉะนั้น องค์ประกอบที่สำคัญที่ขาดไม่ได้คือ ตัวละคร สถานที่ และเวลา
สิ่งที่สำคัญในการเขียนบทหนังสั้นก็คือ การเริ่มค้นหาวัตถุดิบหรือแรงบันดาลใจให้ได้ ว่าเราอยากจะพูด จะนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับอะไร ตัวเราเองมีแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ อย่างไร ซึ่งแรงบันดาลใจในการเขียนบทที่เราสามารถนำมาใช้ได้ก็คือ ตัวละคร แนวความคิด และเหตุการณ์ และควรจะมองหาวัตถุดิบในการสร้างเรื่องให้แคบอยู่ในสิ่งที่เรารู้สึก รู้จริง เพราะคนทำหนังสั้นส่วนใหญ่ มักจะทำเรื่องที่ไกลตัวหรือไม่ก็ไกลเกินไปจนทำให้เราไม่สามารถจำกัดขอบเขตได้
เมื่อเราได้เรื่องที่จะเขียนแล้วเราก็ต้องนำเรื่องราวที่ได้มาเขียน Plot (โครงเรื่อง) ว่าใคร ทำอะไร กับใคร อย่างไร ที่ไหน เมื่อไร เพราะอะไร และได้ผลลัพธ์อย่างไร ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ข้อมูล หรือวัตถุดิบที่เรามีอยู่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคนว่ามีแนวคิดมุมมองต่อชีวิตคนอย่างไร เพราะความเข้าใจในมนุษย์ ยิ่งเราเข้าใจมากเท่าไร เราก็ยิ่งทำหนังได้ลึกมากขึ้นเท่านั้น
และเมื่อเราได้เรื่อง ได้โครงเรื่องมาเรียบร้อยแล้ว เราก็นำมาเป็นรายละเอียดของฉาก ว่ามีกี่ฉากในแต่ละฉากมีรายละเอียดอะไรบ้าง เช่นมีใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร ไปเรื่อย ๆ จนจบเรื่อง ซึ่งความจริงแล้วขั้นตอนการเขียนบทไม่ได้มีอะไรยุ่งยากมากมาย เพราะมีการกำหนดเป็นแบบแผนไว้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ยาก มาก ๆ ก็คือกระบวนการคิด ว่าคิดอย่างไรให้ลึกซึ้ง คิดอย่างไรให้สมเหตุสมผล ซึ่งวิธีคิดเหล่านี้ไม่มีใครสอนกันได้ทุกคน ต้องค้นหาวิธีลองผิดลองถูก จนกระทั่ง ค้นพบวิธีคิดของตัวเอง
การเตรียมการและการเขียนบทภาพยนตร์
การเขียนบทภาพยนตร์เริ่มต้นที่ไหน เป็นคำถามที่มักจะได้ยินเสมอสำหรับผู้ที่เริ่มหัดเขียนบทภาพยนตร์ใหม่ ๆ เช่น ควรเริ่มช็อตแรก เห็นยานอวกาศลำใหญ่แล่นเข้ามาขอบเฟรมบนแล้วเลยไปสู่แกแล็กซี่เบื้องหน้าเพื่อให้เห็นความยิ่งใหญ่ของจักรวาล หรือเริ่มต้นด้วยรถที่ขับไล่ล่ากันกลางเมืองเพื่อสร้างความตื่นเต้นดี หรือเริ่มต้นด้วยความเงียบมีเสียงหัวใจเต้นตึกตัก ๆ ดี หรือเริ่มต้นด้วยความฝันหรือเริ่มต้นที่ตัวละครหรือเหตุการณ์ดี เหล่านี้เป็นต้น บางคนบอกว่ามีโครงเรื่องดี ๆ แต่ไม่ทราบว่าจะเริ่มอย่างไร
การเริ่มต้นเขียนบทภาพยนตร์ เราต้องมีเป้าหมายหลักหรือเนื้อหาเป็นจุดเริ่มต้นการเขียน เราเรียกว่าประเด็น (Subject) ของเรื่อง ที่ต้องชัดเจนแน่นอน มีตัวละครและแอ็คชั่น ดังนั้น นักเขียนควรเริ่มต้นจากจุดนี้พร้อมด้วยโครงสร้าง (Structure) ของบทภาพยนตร์
ประเด็นอาจเป็นสิ่งที่ง่าย ๆ เช่น มนุษย์ต่างดาวเข้ามาเยือนโลกแล้วพลัดพลาดจากยานอวกาศของตน ไม่สามารถกลับดวงดาวของตัวเองได้ จนกระทั่งมีเด็ก ๆ ไปพบเข้าจึงกลายเป็นเพื่อนรักกัน และช่วยพาหลบหนีจากอันตรายกลับไปยังยานของตนได้ นี่คือเรื่อง E.T. – The Extra-Terrestrial (1982) หรือประเด็นเป็นเรื่องของนักมวยแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทที่สูญเสียตำแหน่งและต้องการเอากลับคืนมา คือเรื่อง Rocky III หรือนักโบราณคดีค้นพบโบราณวัตถุสำคัญที่หายไปหลายศตวรรษ คือเรื่อง Raider of the Lost Ark (1981) เป็นต้น
การคิดประเด็นของเรื่องในบทภาพยนตร์ของเราว่าคืออะไร ให้กรองแนวความคิดจนเหลือจุดที่สำคัญมุ่งไปที่ตัวละครและแอ็คชั่น แล้วเขียนให้ได้สัก 2-3 ประโยค ไม่ควรมากกว่านี้ และที่สำคัญไม่ควรกังวลในจุดนี้ว่าจะต้องทำให้บทภาพยนตร์ของเราถูกต้องในแง่ของเรื่องราว แต่ควรให้มันพัฒนาไปตามแนวทางของขั้นตอนการเขียนจะดีกว่า
สิ่งแรกที่เราควรฝึกเขียนคือต้องบอกให้ได้ว่าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร เช่น เรื่องเกี่ยวกับความดีและความชั่วร้าย หรือเกี่ยวกับความรักของหนุ่มชาวกรุงกับหญิงบ้านนอก ความพยาบาทของปีศาจสาวที่ถูกฆาตกรรม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความคิดที่ยังขาดแง่มุมของการเขียนว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป จึงต้องชัดเจนมากกว่านี้ โดยเริ่มที่ตัวละครหลักและแอ็คชั่น ดังนั้นประเด็นของเรื่องจึงเป็นสิ่งสำคัญของจุดเริ่มต้นการเขียนบทภาพยนตร์
อย่างไรก็ตาม การเขียนบทภาพยนตร์สำหรับนักเขียนหน้าใหม่ ควรค้นหาสิ่งที่น่าสนใจจากสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวของนักเขียนเอง เขียงเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองรู้ ทำให้ได้รายละเอียดในเชิงลึกของเนื้อหา เกิดความจริง สร้างความตื่นตะลึงได้ เช่นเรื่องในครอบครัว เรื่องของเพื่อนบ้าน เรื่องในที่ทำงาน ของตนเอง เรื่องในหนังสือพิมพ์รายวัน เป็นต้น
ดังนั้นขั้นตอนสำหรับการเขียนบทภาพยนตร์สามารถสรุปได้คือ
1. การค้นคว้าหาข้อมูล (research) เป็นขั้นตอนการเขียนบทภาพยนตร์อันดับแรกที่ต้องทำถือเป็นสิ่งสำคัญหลังจากเราพบประเด็นของเรื่องแล้ว จึงลงมือค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อเสริมรายละเอียดเรื่องราวที่ถูกต้อง จริง ชัดเจน และมีมิติมากขึ้น คุณภาพของภาพยนตร์จะดีหรือไม่จึงอยู่ที่การค้นคว้าหาข้อมูล ไม่ว่าภาพยนตร์นั้นจะมีเนื้อหาใดก็ตาม
2. การกำหนดประโยคหลักสำคัญ (premise) หมายถึงความคิดหรือแนวความคิดที่ง่าย ๆ ธรรมดา ส่วนใหญ่มักใช้ตั้งคำถามว่า “เกิดอะไรขึ้นถ้า...” (what if) ตัวอย่างของ premise ตามรูปแบบหนังฮอลลีวู้ด เช่น เกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องโรเมโอ & จูเลียตเกิดขึ้นในนิวยอร์ค คือ เรื่อง West Side Story, เกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ดาวอังคารบุกโลก คือเรื่อง The Invasion of Mars, เกิดอะไรขึ้นถ้าก็อตซิล่าบุกนิวยอร์ค คือเรื่อง Godzilla, เกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ต่างดาวบุกโลก คือเรื่อง The Independence Day, เกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องโรเมโอ & จูเลียตเกิดขึ้นบนเรือไททานิค คือเรื่อง Titanic เป็นต้น
3. การเขียนเรื่องย่อ (synopsis) คือเรื่องย่อขนาดสั้น ที่สามารถจบลงได้ 3-4 บรรทัด หรือหนึ่งย่อหน้า หรืออาจเขียนเป็น story outline เป็นร่างหลังจากที่เราค้นคว้าหาข้อมูลแล้วก่อนเขียนเป็นโครงเรื่องขยาย (treatment)
4. การเขียนโครงเรื่องขยาย (treatment) เป็นการเขียนคำอธิบายของโครงเรื่อง (plot) ในรูปแบบของเรื่องสั้น โครงเรื่องขยายอาจใช้สำหรับเป็นแนวทางในการเขียนบทภาพยนตร์ที่สมบูรณ์ บางครั้งอาจใช้สำหรับยื่นของบประมาณได้ด้วย และการเขียนโครงเรื่องขยายที่ดีต้องมีประโยคหลักสำหคัญ (premise) ที่ง่าย ๆ น่าสนใจ
5. บทภาพยนตร์ (screenplay) สำหรับภาพยนตร์บันเทิง หมายถึง บท (script) ซีเควนส์หลัก (master scene/sequence)หรือ ซีนาริโอ (scenario) คือ บทภาพยนตร์ที่มีโครงเรื่อง บทพูด แต่มีความสมบูรณ์น้อยกว่าบทถ่ายทำ (shooting script) เป็นการเล่าเรื่องที่ได้พัฒนามาแล้วอย่างมีขั้นตอน ประกอบ ด้วยตัวละครหลักบทพูด ฉาก แอ็คชั่น ซีเควนส์ มีรูปแบบการเขียนที่ถูกต้อง เช่น บทสนทนาอยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษฉาก เวลา สถานที่ อยู่ชิดขอบหน้าซ้ายกระดาษ ไม่มีตัวเลขกำกับช็อต และโดยหลักทั่วไปบทภาพยนตร์หนึ่งหน้ามีความยาวหนึ่งนาที
6. บทถ่ายทำ (shooting script) คือบทภาพยนตร์ที่เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการเขียน บทถ่ายทำจะบอกรายละเอียดเพิ่มเติมจากบทภาพยนตร์ (screenplay) ได้แก่ ตำแหน่งกล้อง การเชื่อมช็อต เช่น คัท (cut) การเลือนภาพ (fade) การละลายภาพ หรือการจางซ้อนภาพ (dissolve) การกวาดภาพ (wipe) ตลอดจนการใช้ภาพพิเศษ (effect) อื่น ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเลขลำดับช็อตกำกับเรียงตามลำดับตั้งแต่ช็อตแรกจนกระทั่งจบเรื่อง
7. บทภาพ (storyboard) คือ บทภาพยนตร์ประเภทหนึ่งที่อธิบายด้วยภาพ คล้ายหนังสือการ์ตูน ให้เห็นความต่อเนื่องของช็อตตลอดทั้งซีเควนส์หรือทั้งเรื่องมีคำอธิบายภาพประกอบ เสียงต่าง ๆ เช่น เสียงดนตรี เสียงประกอบฉาก และเสียงพูด เป็นต้น ใช้เป็นแนวทางสำหรับการถ่ายทำ หรือใช้เป็นวิธีการคาดคะเนภาพล่วงหน้า (pre-visualizing) ก่อนการถ่ายทำว่า เมื่อถ่ายทำสำเร็จแล้ว หนังจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งบริษัทของ Walt Disney นำมาใช้กับการผลิตภาพยนตร์การ์ตูนของบริษัทเป็นครั้งแรก โดยเขียนภาพ เหตุการณ์ของแอ็คชั่นเรียงติดต่อกันบนบอร์ด เพื่อให้คนดูเข้าใจและมองเห็นเรื่องราวล่วงหน้าได้ก่อนลงมือเขียนภาพ ส่วนใหญ่บทภาพจะมีเลขที่ลำดับช็อตกำกับไว้ คำบรรยายเหตุการณ์ มุมกล้อง และอาจมีเสียงประกอบด้วย
การเขียนบทภาพยนตร์จากเรื่องสั้น
การเขียนบทอาจเป็นเรื่องที่นำมาจากเรื่องจริง เรื่องดัดแปลง ข่าว เรื่องที่อยู่รอบ ๆ ตัว นวนิยาย เรื่องสั้น หรือได้แรงบันดาลใจจากความประทับใจในเรื่องราวหรือบางสิ่งที่คนเขียนบทได้สัมผัส เช่น ดนตรี บทเพลง บทกวี ภาพเขียน และอื่น ๆ ซึ่งบทภาพยนตร์ต่อไปนี้ได้แปลมาจากเรื่องสั้นในนิตยสาร The Mississippi Review โดย Robert Olen Butler เรื่อง Salem แต่ในที่นี้จะไม่กล่าวถึงมาตรฐานรูปแบบการเขียนบทภาพยนตร์ว่ามีการเขียนและการจัดหน้าอย่างไร ขอให้ศึกษาได้ใบทภาพยนตร์โดยทั่วไป
วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553
จรรยามารยาทบนอินเทอร์เน็ต (Netiquette)
จรรยามารยาทบนอินเทอร์เน็ต (Netiquette) ทุกวันนี้อินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทและส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ในแทบทุกด้าน รวมทั้งได้ก่อให้เกิดประเด็นปัญหาขึ้นในสังคม ไม่ว่าในเรื่อง ความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย เสรีภาพของการพูดอ่านเขียน ความซื่อสัตย์ รวมถึงความตระหนักในเรื่องพฤติกรรมที่เราปฏิบัติต่อกันและกันในสังคมอินเทอร์เน็ต ในบทความนี้ผู้เขียนขอทบทวนเรื่อง จรรยามารยาทบนอินเทอร์เน็ตหรือที่เรียกกันในกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตว่า “Netiquette” เพื่อให้เป็นของฝากสำหรับสมาชิกใหม่ที่เรียกกันว่า “Net Newbies” และให้เป็นของแถมเพื่อการทบทวนสำหรับนักท่องเน็ตที่เป็น “ขาประจำ”
Netiquette คืออะไร
Netiquette เป็นคำที่มาจาก “network etiquette” หมายถึง จรรยามารยาทของการอยู่ร่วมกันในสังคมอินเทอร์เน็ต หรือ cyberspace ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนเข้ามาแลกเปลี่ยน สื่อสาร และทำกิจกรรมรวมกัน ชุมชนใหญ่บ้างเล็กบ้างบนอินเทอร์เน็ตนั้น ก็ไม่ต่างจากสังคมบนโลกแห่งความเป็นจริง ที่จำเป็นต้องมีกฎกติกา (codes of conduct) เพื่อใช้เป็นกลไกสำหรับการกำกับดูแลพฤติกรรมและการปฏิสัมพันธ์ของสมาชิก
บัญญัติ 10 ประการสำหรับผู้เริ่มต้น
ถ้าศึกษาค้นคว้าในเรื่อง Netiquette บนเว็บ จะพบการอ้างอิงและกล่าวถึง The Core Rules of Netiquette จากหนังสือเรื่อง “Netiquette” เขียนโดย Virginia Shea ซึ่งเธอได้บัญญัติกฎกติกาที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตพึงตระหนักและยึดเป็นแนวปฏิบัติ 10 ข้อ ดังนี้
Remember the Human
กฏข้อที่ 1 เป็นข้อเตือนใจสำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ในขณะที่เรานั่งพิมพ์ข้อความเพื่อติดต่อสื่อสารผ่านจอคอมพิวเตอร์นั้น ต้องไม่ลืมว่าปลายทางอีกด้านหนึ่งของการสื่อสารนั้นที่จริงแล้วก็คือ “มนุษย์”
Adhere to the same standards of behavior online that you follow in real life
กฎข้อที่ 2 เป็นหลักคิดง่าย ๆ ที่อาจจะยึดเป็นแนวปฏิบัติ หากไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร ก็ให้ยึดกติกามารยาทที่เราถือปฏิบัติในสังคมมาเป็นบรรทัดฐานของการอยู่ร่วมกันแบบออนไลน์
Know where you are in cyberspace
กฎข้อที่ 3 เป็นข้อแนะนำให้เราใช้งานอย่างมีสติ รู้ตัวว่าเรากำลังอยู่ ณ ที่ใด เมื่อเข้าในพื้นที่ใหม่ ควรศึกษาและทำความรู้จักกับชุมชนนั้น ก่อนที่จะเข้าร่วมสนทนาหรือทำกิจกรรมใด ๆ
Respect other people's time and bandwidth
กฎข้อที่ 4 ให้รู้จักเคารพผู้อื่นด้วยการตระหนักในเรื่องเวลา ซึ่งจะสัมพันธ์กับขนาดช่องสัญญาณของการเข้าถึงเครือข่าย นั่นคือ ให้คำนึงถึงสาระเนื้อหาที่จะส่งออกไป ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มสนทนาหรือการส่งอีเมล เราควรจะ “คิดสักนิดก่อน submit” ใช้เวลาตรึกตรองสักหน่อยว่า ข้อความเหล่านั้นเหมาะสมหรือมีสาระประโยชน์กับใครมากน้อยเพียงใด
Make yourself look good online
กฎข้อที่ 5 เป็นข้อแนะนำผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับการเขียนและการใช้ภาษา เนื่องจากปัจจุบันวิธีการสื่อสารบนเน็ตใช้การเขียนและข้อความเป็นหลัก การตัดสินว่าคนที่เราติดต่อสื่อสารด้วยเป็นคนแบบใด จะอาศัยสาระเนื้อหารวมทั้งคำที่ใช้ ดังนั้น ถ้าจะให้ “ดูดี” ก็ควรใช้ถ้อยคำที่เหมาะสมและตรวจสอบคำสะกดให้ถูกต้อง
Share expert knowledge
กฎข้อที่ 6 เป็นข้อแนะนำให้เรารู้จักใช้จุดแข็งหรือข้อได้เปรียบของอินเทอร์เน็ต นั่นคือ การใช้เครือข่ายเพื่อเปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยน ”ความรู้” รวมทั้งประสบการณ์กับผู้คนจำนวนมาก ๆ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถือว่าเป็นจุดกำเนิดของอินเทอร์เน็ตนั่นเอง
Help keep flame wars under control
กฎข้อที่ 7 เป็นข้อคิดที่ต้องการให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตได้ร่วมมือกันเพื่อช่วยควบคุมและลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการส่งความคิดเห็นด้วยการใช้คำที่หยาบคาย เติมอารมณ์ความรู้สึกอย่างรุนแรงจนเป็นชนวนให้เกิดกรณีทะเลาะวิวาทกันในกลุ่มสมาชิก ซึ่งรู้จักกันในกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตว่า “flame”
Respect other people's privacy
กฎข้อที่ 8 เป็นคำเตือนให้เรารู้จักเคารพในความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น เช่นไม่อ่านอีเมลของผู้อื่น เป็นต้น
Don't abuse your power
กฎข้อที่ 9 เป็นคำเตือนสำหรับผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษ เช่น ผู้ดูแลระบบบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งมักจะได้รับสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่น บุคคลเหล่านี้ก็ไม่ควรใช้อำนาจหรือสิทธิ์ที่ได้รับไปในทางที่ไม่ถูกต้องและเป็นการเอาเปรียบผู้อื่น
Be forgiving of other people's mistakes
กฎข้อที่ 10 เป็นคำแนะนำให้เรารู้จักให้อภัยผู้อื่น โดยเฉพาะพวก newbies ในกรณีที่พบว่าเขาทำผิดพลาดหรือไม่เหมาะสม และหากมีโอกาสแนะนำคนเหล่านั้น ก็ควรจะชี้ข้อผิดพลาดและให้คำแนะนำอย่างสุภาพ โดยอาจส่งข้อความแจ้งถึงผู้นั้นโดยตรงผ่านทางอีเมล
Netiquette คืออะไร
Netiquette เป็นคำที่มาจาก “network etiquette” หมายถึง จรรยามารยาทของการอยู่ร่วมกันในสังคมอินเทอร์เน็ต หรือ cyberspace ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนเข้ามาแลกเปลี่ยน สื่อสาร และทำกิจกรรมรวมกัน ชุมชนใหญ่บ้างเล็กบ้างบนอินเทอร์เน็ตนั้น ก็ไม่ต่างจากสังคมบนโลกแห่งความเป็นจริง ที่จำเป็นต้องมีกฎกติกา (codes of conduct) เพื่อใช้เป็นกลไกสำหรับการกำกับดูแลพฤติกรรมและการปฏิสัมพันธ์ของสมาชิก
บัญญัติ 10 ประการสำหรับผู้เริ่มต้น
ถ้าศึกษาค้นคว้าในเรื่อง Netiquette บนเว็บ จะพบการอ้างอิงและกล่าวถึง The Core Rules of Netiquette จากหนังสือเรื่อง “Netiquette” เขียนโดย Virginia Shea ซึ่งเธอได้บัญญัติกฎกติกาที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตพึงตระหนักและยึดเป็นแนวปฏิบัติ 10 ข้อ ดังนี้
Remember the Human
กฏข้อที่ 1 เป็นข้อเตือนใจสำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ในขณะที่เรานั่งพิมพ์ข้อความเพื่อติดต่อสื่อสารผ่านจอคอมพิวเตอร์นั้น ต้องไม่ลืมว่าปลายทางอีกด้านหนึ่งของการสื่อสารนั้นที่จริงแล้วก็คือ “มนุษย์”
Adhere to the same standards of behavior online that you follow in real life
กฎข้อที่ 2 เป็นหลักคิดง่าย ๆ ที่อาจจะยึดเป็นแนวปฏิบัติ หากไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร ก็ให้ยึดกติกามารยาทที่เราถือปฏิบัติในสังคมมาเป็นบรรทัดฐานของการอยู่ร่วมกันแบบออนไลน์
Know where you are in cyberspace
กฎข้อที่ 3 เป็นข้อแนะนำให้เราใช้งานอย่างมีสติ รู้ตัวว่าเรากำลังอยู่ ณ ที่ใด เมื่อเข้าในพื้นที่ใหม่ ควรศึกษาและทำความรู้จักกับชุมชนนั้น ก่อนที่จะเข้าร่วมสนทนาหรือทำกิจกรรมใด ๆ
Respect other people's time and bandwidth
กฎข้อที่ 4 ให้รู้จักเคารพผู้อื่นด้วยการตระหนักในเรื่องเวลา ซึ่งจะสัมพันธ์กับขนาดช่องสัญญาณของการเข้าถึงเครือข่าย นั่นคือ ให้คำนึงถึงสาระเนื้อหาที่จะส่งออกไป ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มสนทนาหรือการส่งอีเมล เราควรจะ “คิดสักนิดก่อน submit” ใช้เวลาตรึกตรองสักหน่อยว่า ข้อความเหล่านั้นเหมาะสมหรือมีสาระประโยชน์กับใครมากน้อยเพียงใด
Make yourself look good online
กฎข้อที่ 5 เป็นข้อแนะนำผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับการเขียนและการใช้ภาษา เนื่องจากปัจจุบันวิธีการสื่อสารบนเน็ตใช้การเขียนและข้อความเป็นหลัก การตัดสินว่าคนที่เราติดต่อสื่อสารด้วยเป็นคนแบบใด จะอาศัยสาระเนื้อหารวมทั้งคำที่ใช้ ดังนั้น ถ้าจะให้ “ดูดี” ก็ควรใช้ถ้อยคำที่เหมาะสมและตรวจสอบคำสะกดให้ถูกต้อง
Share expert knowledge
กฎข้อที่ 6 เป็นข้อแนะนำให้เรารู้จักใช้จุดแข็งหรือข้อได้เปรียบของอินเทอร์เน็ต นั่นคือ การใช้เครือข่ายเพื่อเปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยน ”ความรู้” รวมทั้งประสบการณ์กับผู้คนจำนวนมาก ๆ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ถือว่าเป็นจุดกำเนิดของอินเทอร์เน็ตนั่นเอง
Help keep flame wars under control
กฎข้อที่ 7 เป็นข้อคิดที่ต้องการให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตได้ร่วมมือกันเพื่อช่วยควบคุมและลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการส่งความคิดเห็นด้วยการใช้คำที่หยาบคาย เติมอารมณ์ความรู้สึกอย่างรุนแรงจนเป็นชนวนให้เกิดกรณีทะเลาะวิวาทกันในกลุ่มสมาชิก ซึ่งรู้จักกันในกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตว่า “flame”
Respect other people's privacy
กฎข้อที่ 8 เป็นคำเตือนให้เรารู้จักเคารพในความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น เช่นไม่อ่านอีเมลของผู้อื่น เป็นต้น
Don't abuse your power
กฎข้อที่ 9 เป็นคำเตือนสำหรับผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษ เช่น ผู้ดูแลระบบบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งมักจะได้รับสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่น บุคคลเหล่านี้ก็ไม่ควรใช้อำนาจหรือสิทธิ์ที่ได้รับไปในทางที่ไม่ถูกต้องและเป็นการเอาเปรียบผู้อื่น
Be forgiving of other people's mistakes
กฎข้อที่ 10 เป็นคำแนะนำให้เรารู้จักให้อภัยผู้อื่น โดยเฉพาะพวก newbies ในกรณีที่พบว่าเขาทำผิดพลาดหรือไม่เหมาะสม และหากมีโอกาสแนะนำคนเหล่านั้น ก็ควรจะชี้ข้อผิดพลาดและให้คำแนะนำอย่างสุภาพ โดยอาจส่งข้อความแจ้งถึงผู้นั้นโดยตรงผ่านทางอีเมล
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
1. ความสำคัญ
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 กำหนดแนวการจัดการศึกษา โดยยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติ และเต็มตามศักยภาพ โดยจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกัน แก้ปัญหาและเรียนรู้จากประสบการณ์จริง กอปรกับมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคมและเทคโนโลยี ก่อให้เกิดทั้งผลดีและผลเสียต่อการดำเนินชีวิตในปัจจุบันของบุคคล ทำให้เกิดความยุ่งยากซับซ้อนมากยิ่งขึ้น จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณค่า มีศักดิ์ศรี และมีความสุข
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน กำหนดให้มีสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่ม และกิจกรรมพัฒนา ผู้เรียน ซึ่งกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเป็นกิจกรรมที่จัดให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถของตนเองตามศักยภาพ มุ่งเน้นเพิ่มเติมจากกิจกรรมที่ได้จัดให้เรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ทั้ง 8 กลุ่ม การเข้า ร่วมและปฏิบัติกิจกรรมที่เหมาะสมร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุขกับกิจกรรมที่เลือกด้วยตนเองตามความถนัด และความสนใจอย่างแท้จริง การพัฒนาที่สำคัญ ได้แก่ การพัฒนาองค์รวมของความเป็นมนุษย์ให้ครบทุกด้าน ทั้งร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม โดยอาจจัดเป็นแนวทางหนึ่งที่จะสนองนโยบายในการสร้างเยาวชนของชาติให้เป็นผู้มีศีลธรรม จริยธรรม มีระเบียบวินัย และมีคุณภาพเพื่อพัฒนาองค์รวมของความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ปลูกฝังและสร้างจิตสำนึกของการทำประโยชน์เพื่อสังคม ซึ่งสถานศึกษาจะต้องดำเนินการอย่างมีเป้าหมาย มีรูปแบบและวิธีการที่เหมาะสมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ
กิจกรรมแนะแนว เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนาความสามารถของผู้เรียนให้เหมาะสมตามความแตกต่างระหว่างบุคคล สามารถค้นพบและพัฒนาศักยภาพของตน เสริมสร้างทักษะชีวิต วุฒิภาวะทางอารมณ์ การเรียนรู้ในเชิงพหุปัญญา และการสร้างสัมพันธภาพที่ดี ซึ่งผู้สอนทุกคนต้องทำหน้าที่แนะแนวให้คำปรึกษาด้านชีวิต การศึกษาต่อและการพัฒนาตนเองสู่โลกอาชีพและการมี งานทำ
กิจกรรมนักเรียน เป็นกิจกรรมที่เกิดจากความสมัครใจของผู้เรียนมุ่งพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์เพิ่มเติมจากกิจกรรมในกลุ่มสาระ เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกัน แก้ปัญหา ส่งเสริมศักยภาพของผู้เรียนอย่างเต็มที่ รวมถึงกิจกรรมที่มุ่งปลูกฝังความมีระเบียบวินัย รับผิดชอบ รู้สิทธิและหน้าที่ของตนเองในการอยู่ร่วมกันตามระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แบ่ง ตามความแตกต่างระหว่างกิจกรรมได้เป็น 2 ลักษณะ
1. กิจกรรมพัฒนาความถนัด ความสนใจ ตามความต้องการของผู้เรียน เป็นกิจกรรม
ที่มุ่งเน้นการเติมเต็มความรู้ ความชำนาญและประสบการณ์ของผู้เรียนให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เพื่อการค้นพบความถนัดความสนใจของตนเอง และพัฒนาตนเองให้เต็มศักยภาพ ตลอดจนการพัฒนาทักษะของสังคม และปลูกฝังจิตสำนึกของการทำประโยชน์เพื่อสังคม
2. กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด และผู้บำเพ็ญประโยชน์ เป็นกิจกรรมที่มุ่ง
ปลูกฝัง ระเบียบวินัย กฎเกณฑ์ เพื่อการอยู่ร่วมกันในสภาพชีวิตต่าง ๆ นำไปสู่พื้นฐานการทำประโยชน์ให้แก่สังคม และวิถีชีวิตในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งกระบวนการจัดให้เป็นไปตามข้อกำหนดของคณะกรรมการลูกเสือแห่งชาติ ยุวกาชาด สมาคม ผู้บำเพ็ญประโยชน์และกรมรักษาดินแดน
ทั้งนี้ ในทางปฏิบัติสถานศึกษาจัดกิจกรรมในลักษณะของการบูรณาการองค์ความรู้ ต่าง ๆ ที่เกื้อกูลส่งเสริมการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ให้มีความกว้างขวางลึกซึ้งยิ่งขึ้น อีกทั้งให้ ผู้เรียนได้ค้นพบและใช้ศักยภาพที่มีในตนอย่างเต็มที่ เลือก ตัดสินใจ ได้อย่างมีเหตุผลเหมาะสมกับ ตนเอง สามารถวางแผนชีวิตและอาชีพได้อย่างมีคุณภาพ เน้นการ เสริมสร้างทักษะชีวิต วุฒิภาวะทางอารมณ์ ศีลธรรม และจริยธรรม รู้จักสร้างสัมพันธภาพที่ดีเพื่อปรับตัวเข้ากับบุคคลและสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างดีและมีความสุข เช่น กิจกรรมการสร้างเสริมความรู้สึกรักและเห็นคุณค่าใน ตนเอง กิจกรรมพัฒนาวุฒิภาวะทางอารมณ์ ศีลธรรม และจริยธรรม กิจกรรมพัฒนาทักษะชีวิต กิจกรรมสร้างเสริมประสิทธิภาพการเรียน เป็นต้น กิจกรรมเหล่านี้สามารถหลอมเข้าไปในการจัด กิจกรรมลูกเสือเนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บำเพ็ญประโยชน์ในลักษณะของการ เข้าค่ายต่าง ๆ หรืออาจแยกจัดเป็นกิจกรรมเฉพาะทางได้ เช่น จัดกิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บำเพ็ญประโยชน์ โดยมุ่งเป็นการฝึกระเบียบวินัย การอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข กิจกรรมชมรมวิชาการ มุ่งเน้น ประสบการณ์ความชำนาญเฉพาะเรื่องที่ถนัดและสนใจจากการเรียนรู้กลุ่มสาระต่าง ๆ ชุมนุมต่าง ๆ เพื่อการร่วมกับคิดค้นกิจกรรมที่สร้างสรรค์ก่อให้เกิดความสนุก ความสุข และพัฒนาทักษะทางสังคม ทั้งนี้แม้จะแยกจัดกิจกรรมเฉพาะทางก็สามารถบูรณาการกิจกรรมแนะแนวเข้าไว้ด้วย เพื่อให้ค้นพบศักยภาพของตนเองด้วย
2. ความหมาย
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เป็นกิจกรรมที่จัดอย่างเป็นกระบวนการด้วยรูปแบบ วิธีการที่ หลากหลาย ในการพัฒนาผู้เรียนทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ และสังคม มุ่งเสริมเจตคติ
คุณค่าชีวิต ปลูกฝังคุณธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักและเข้าใจตนเอง สร้างจิตสำนึกในธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ปรับตัวและปฏิบัติตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ประเทศชาติ และดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข
3. เป้าหมาย
การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนมุ่งพัฒนาให้บุคคลรู้จักและเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่น มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ มีกระบวนการคิด มีทักษะในการดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสม และมีความสุข มีจิตสำนึกในการรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ โดยกำหนดเป้าหมายในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนดังนี้
1. ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย เกิดความรู้ ความชำนาญ ทั้งวิชาการและ วิชาชีพอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น
2. ผู้เรียนค้นพบความสนใจ ความถนัด และพัฒนาความสามารถพิเศษเฉพาะตัว มองเห็นช่องทางในการสร้างงาน อาชีพในอนาคตได้เหมาะสมกับตนเอง
3. ผู้เรียนเห็นคุณค่าขององค์ความรู้ต่าง ๆ สามารถนำความรู้และประสบการณ์ไปใช้ในการพัฒนาตนเอง และประกอบสัมมาชีพ
4. ผู้เรียนพัฒนาบุคลิกภาพ เจตคติ ค่านิยมในการดำเนินชีวิต และเสริมสร้างศีลธรรม จริยธรรม
5. ผู้เรียนมีจิตสำนึกและทำประโยชน์เพื่อสังคมและประเทศชาติ
4. หลักการจัด
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนมีหลักการจัดดังนี้
1. มีการกำหนดวัตถุประสงค์และแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม
2. จัดให้เหมาะสมกับวัย วุฒิภาวะ ความสนใจ ความถนัด และความสามารถของผู้เรียน
3. บูรณาการวิชาการกับชีวิตจริง ให้ผู้เรียนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิต
4. ใช้กระบวนการกลุ่มในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ฝึกให้คิดวิเคราะห์ สร้างสรรค์
จินตนาการ ที่เป็นประโยชน์และสัมพันธ์กับชีวิตในแต่ละช่วงวัยอย่างต่อเนื่อง
5. จำนวนสมาชิกมีความเหมาะสมกับลักษณะของกิจกรรม
6. มีการกำหนดเวลาในการจัดกิจกรรมให้เหมาะสม สอดคล้องกับวิสัยทัศน์และ เป้าหมายของสถานศึกษา
7. ผู้เรียนเป็นผู้ดำเนินการ มีครูเป็นที่ปรึกษาถือเป็นหน้าที่และงานประจำโดยคำนึงถึงความปลอดภัย
8. ยึดหลักการมีส่วนร่วม โดยเปิดโอกาสให้ครู พ่อแม่ ผู้ปกครอง ชุมชน องค์กร ทั้งภาครัฐ และเอกชน มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรม
9. มีการประเมินผลการปฏิบัติกิจกรรม โดยวิธีการที่หลากหลายและสอดคล้องกับกิจกรรมอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง โดยให้ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเมินผลการผ่านช่วงชั้นเรียน
5. แนวการจัด
สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนเข้าร่วมกิจกรรม โดยคำนึงถึงแนวการจัดดังต่อไปนี้
1. การจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเกื้อกูลส่งเสริมการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ เช่น การบูรณการโครงการ องค์ความรู้จากกลุ่มสาระการเรียนรู้ เป็นต้น
2. จัดกิจกรรมตามความสนใจ ความถนัดตามธรรมชาติ และความสามารถ ความต้องการ ของผู้เรียนและชุมชน เช่น ชมรมทางวิชาการต่าง ๆ เป็นต้น
3. จัดกิจกรรมเพื่อปลูกฝังและสร้างจิตสำนึกในการทำประโยชน์ต่อสังคม เช่น กิจกรรม ลูกเสือ เนตรนารี เป็นต้น
4. จัดกิจกรรมประเภทบริการด้านต่าง ๆ ฝึกการทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและ ส่วนรวม
กิจกรรมต่อไปนี้เป็นกิจกรรมที่สถานศึกษาอาจเสนอแนะต่อผู้เรียน
1. กิจกรรมสร้างเสริมความรู้สึกรักและเห็นคุณค่าในตนเอง
เป็นกิจกรรมที่มุ่งสร้างเสริมความรู้สึกรักและเห็นคุณค่าในตนเอง เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสำรวจ วิเคราะห์ประเมินตนเองตามความเป็นจริง จนกระทั่งรู้จัก เข้าใจ ยอมรับ ควบคุมและพัฒนาตนเอง มีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น รู้ว่าตนมีความสามารถ มีคุณค่า สามารถสร้างสิ่งดีงาม ให้แก่ตนเอง ครอบครัว สังคม และดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข
2. กิจกรรมพัฒนาวุฒิภาวะทางอารมณ์ ศีลธรรม และจริยธรรม
เป็นกิจกรรมที่มุ่งพัฒนาวุฒิภาวะทางอารมณ์ เชาวน์ปัญญาในการแก้ปัญหา เชาวน์ปัญญาทางด้านศีลธรรม และจริยธรรม เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความสมดุลทั้งด้านจิตใจ ร่างกาย อารมณ์ และสังคม ทำให้ดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ และมีความสุข ประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นคนดี มีปัญญา และมีความสุข
3. กิจกรรมสร้างเสริมประสิทธิภาพในการเรียน
เป็นกิจกรรมที่มุ่งสร้างเสริมประสิทธิภาพในการเรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาการเรียนรู้ของตนได้เต็มตามศักยภาพ มีเจตคติที่ดีต่อการเรียน มีนิสัยในการเรียนที่ดี เห็นคุณค่าของ การแสวงหาความรู้ มีเทคนิคและวิธีการเรียนที่ดี รู้ว่าปัจจัยส่งเสริมการเรียนที่ดี และวางแผนการศึกษา และอนาคตของตนได้
4. กิจกรรมสร้างเสริมนิสัยรักการทำงาน
เป็นกิจกรรมที่มุ่งสร้างเสริมนิสัยรักการทำงาน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนรู้จักและเข้าใจตนเอง ปลูกฝังค่านิยมนิสัยรักการทำงาน แสดงถึงความพึงพอใจ มุ่งมั่นที่จะทำงานให้บรรลุผลสำเร็จ และมีความภาคภูมิใจในผลงานของตน
5. กิจกรรมสร้างเสริมนิสัยการทำประโยชน์เพื่อสังคม
เป็นกิจกรรมที่มุ่งสร้างเสริมนิสัยการทำประโยชน์เพื่อสังคม เพื่อช่วยให้ผู้เรียนรู้จักและเข้าใจตนเอง ปลูกฝังคุณลักษณะนิสัยที่เอื้อต่อการทำประโยชน์เพื่อสังคม เห็นแนวทางที่จะทำประโยชน์ให้กับสังคม และสามารถนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้
6. กิจกรรมพัฒนาทักษะชีวิต
เป็นกิจกรรมที่มุ่งสร้างเสริมความสามารถในการปรับตัวอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข เพื่อช่วยให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ สามารถจัด การกับความต้องการความขัดแย้ง อุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง ตลอดจนสร้างสรรค์เปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้นได้
7. กิจกรรมฉลาดกินฉลาดใช้
เป็นกิจกรรมที่มุ่งสร้างเสริม พัฒนาการคิด วิเคราะห์ ตัดสินใจเลือกบริโภค โดย ยึดหลักประโยชน์ ประหยัด และปลอดภัยเพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการบริโภคในชีวิตประจำวันได้
8. กิจกรรมศิลปินนักอ่าน
เป็นกิจกรรมที่มุ่งสร้างเสริมพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงร้อยแก้วหรือร้อยกรองตามความสนใจของผู้เรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถอ่านออกเสียงได้ถูกต้องตามหลักการอ่าน
9. กิจกรรมเพื่อนที่แสนดี
เป็นกิจกรรมที่มุ่งสร้างเสริม พัฒนาให้มีความสามารถปรับปรุงตนเองในการปฏิบัติต่อผู้อื่นได้อย่างเหมาะสมช่วยให้ผู้เรียนได้ ปฏิบัติตนช่วยเหลือผู้อื่นที่เดือดร้อนได้
10. กิจกรรมบริการแนะแนวและให้คำปรึกษา
เป็นกิจกรรมมุ่งส่งเสริมให้รักการทำงานก็เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ส่วนรวม และมีความสามารถในการให้บริการ มีทักษะในการ ให้คำปรึกษา เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเป็นผู้ให้การแนะแนวและให้คำปรึกษาเบื้องต้นได้ และเป็นการทำประโยชน์ให้แก่สังคม
11. กิจกรรมลูกเสือ-เนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บำเพ็ญประโยชน์ และรักษาดินแดน
เป็นกิจกรรมที่มุ่งจัดฝึกอบรมบ่มนิสัย ให้เป็นพลเมืองดีตามจารีตประเพณีของชาติ บ้านเมืองและตามอุดมคติ อุดมการณ์ของลูกเสือ-เนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บำเพ็ญประโยชน์ และ รักษาดินแดน โดยดำเนินการจัดกิจกรรมให้เป็นไปตามข้อกำหนดของคณะกรรมการลูกเสือแห่งชาติ ยุวกาชาด สมาคมผู้บำเพ็ญประโยชน์ และกรมรักษาดินแดน
12. กิจกรรมพิทักษ์ป่า
เป็นกิจกรรมที่มุ่งสร้างเสริมกระบวนการอนุรักษ์และพัฒนาป่าโดยการเข้าค่ายในป่ามีการออกระเบียบกฎเกณฑ์ของการอยู่ร่วมกันในค่าย การเดินทางไกลพัฒนาทักษะการสังเกต คิด ตัดสินใจ แก้ปัญหาและคิดสร้างสรรค์ในการอนุรักษ์และพัฒนาป่า
13. กิจกรรมผู้บำเพ็ญประโยชน์ เรียนรู้ร่วมกัน
เป็นกิจกรรมที่สร้างเสริม สนับสนุนให้เด็กหญิง เยาวสตรีได้เรียนรู้กิจกรรมผู้บำเพ็ญประโยชน์ ฝึกทักษะในการเป็นผู้ช่วยเหลือ แสดงความเมตตา กรุณา ทุกคนร่วมกันปฏิญาณตนเพื่อปฏิบัติตามกฎผู้บำเพ็ญประโยชน์ ได้เรียนรู้กระบวนการกลุ่มในการอยู่ร่วมกัน สามารถค้นพบความสามารถ สนใจ และเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ
นอกจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่เสนอแนะไว้แล้วข้างต้น ผู้เรียนอาจเสนอกิจกรรมอื่น ๆ ได้ตามความต้องการ และความสนใจ เช่น กิจกรรมทำหนังสือรุ่น กิจกรรมทำหนังสือพิมพ์โรงเรียนเป็นต้น
6. บทบาทของบุคลากรที่เกี่ยวข้อง
ในการดำเนินการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนให้มีประสิทธิผล จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกำหนดบทบาทหน้าที่ของบุคลากรที่เกี่ยวข้อง สถานศึกษาจะสามารถนำไปปรับปรุงและเลือกปฏิบัติได้ตามความเหมาะสมและความพร้อมของแต่ละสถานศึกษา คือ
บทบาทของคณะกรรมการสถานศึกษา
ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 หมวด 4 มาตรา 29 และหมวด 5 มาตรา 40 ที่มุ่งเน้นให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาและให้มีคณะกรรมการสถานศึกษาขั้น พื้นฐาน เพื่อทำหน้าที่ กำกับ และส่งเสริมสนับสนุนในการบริหารจัดการในสถานศึกษานั้น คณะกรรมการสถานศึกษาควรมีบทบาทในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ดังนี้
1. ให้ความเห็นชอบ มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย เป้าหมายและดำเนินการ
1.1 มีส่วนร่วมในการวางแผน วิเคราะห์การจัดกิจกรรมของสถานศึกษา
1.2 ให้ความเห็นชอบแผนการจัดกิจกรรมของสถานศึกษา
1.3 มีส่วนร่วมในการดำเนินการจัดกิจกรรมให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
1.4 มีส่วนร่วมในการประเมินผล เพื่อปรับปรุงและพัฒนาในโอกาสต่อไป
2. ส่งเสริม สนับสนุน การดำเนินการจัดกิจกรรมของสถานศึกษาในด้านต่าง ๆ
2.1 ด้านงบประมาณ กรรมการสถานศึกษาต้องมีส่วนในการจัดหางบประมาณ สนับสนุนการจัดกิจกรรม วัสดุภัณฑ์ เครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ ในการปฏิบัติกิจกรรม
2.2 เป็นวิทยากรและแนะนำวิทยากร คณะกรรมการสถานศึกษาส่วนใหญ่ประกอบไปด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่าง ๆ ผู้แทนองค์กรปกครองท้องถิ่น ผู้แทนชุมชน ผู้แทน
ผู้ปกครอง และศิษย์เก่า ซึ่งล้วนแต่มีศักยภาพในตัวเอง ฉะนั้นจึงสามารถเป็นวิทยากรหรือจัดหาวิทยากรภายนอกในกรณีที่ขาดผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาที่กำหนดในกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
2.3 ให้คำปรึกษาและส่งเสริมการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ในการจัดกิจกรรมพัฒนา ผู้เรียน ควรกำหนดให้สอดคล้องกับภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของ
วัฒนธรรมท้องถิ่น และตระหนักในหน้าที่ในการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น
2.4 เป็นแหล่งศึกษาและแหล่งข้อมูล กรรมการสถานศึกษาจะต้องมีการประสานสัมพันธ์กับแหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น ที่เป็นโรงงาน สถานประกอบการ แหล่งวิทยาการต่าง ๆ เพื่อให้ความร่วมมือในการใช้เป็นแหล่งฝึกปฏิบัติกิจกรรม และเป็นแหล่งศึกษาดูงานตามความต้องการของผู้เรียนในแต่ละกิจกรรม
บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษา
บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษา ในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนของสถานศึกษา มีดังนี้
1. กำหนดโยบายและแนวทางปฏิบัติ
ผู้บริหารสถานศึกษาร่วมกับคณะกรรมการกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนหรือหัวหน้า กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน กำหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติดังนี้
1.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 และคู่มือการจัด
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตามคำสั่งของกระทรวงศึกษาธิการ
1.2 กำหนดระเบียบและหลักเกณฑ์การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนของสถานศึกษา
1.3 ศึกษาข้อมูล แหล่งวิทยาการการเรียนรู้ในชุมชนและท้องถิ่น
1.4 กำหนดและมอบหมายบุคลากรที่เกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนในสถานศึกษา
2. นิเทศและติดตาม
2.1 นิเทศและติดตามการจัดทำแผนงาน โครงการ ปฏิทินงานของหัวหน้าหมวด กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและอนุมัติให้ความเห็นชอบ
2.2 นิเทศ ติดตามการดำเนินงานกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนอย่างต่อเนื่องให้เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของสถานศึกษาและเป้าหมายของการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
3. ส่งเสริมสนับสนุน
3.1 ให้มีการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน
3.2 ส่งเสริมการจัดกิจกรรมที่เน้นวัฒนธรรมหรือภูมิปัญญาท้องถิ่น
3.3 สนับสนุนทรัพยากรที่เกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
3.4 ให้คำปรึกษาแก่บุคลากรที่เกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
4. ประเมินและรายงาน
4.1 รับทราบผลการประเมินพร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเพื่อเป็นประโยชน์ในการจัดกิจกรรมในภาคเรียนต่อไป
4.2 รายงานการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ให้คณะกรรมการสถานศึกษาทราบเพื่อเป็นประโยชน์ในการจัดกิจกรรมในภาคเรียนต่อไป
บทบาทของหัวหน้ากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
บทบาทของหัวหน้ากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนของ
สถานศึกษามีดังนี้
1. สำรวจข้อมูลความพร้อม ความต้องการและสภาพปัญหา
ดำเนินการสำรวจข้อมูลความพร้อม ความต้องการ และสภาพปัญหาของ สถานศึกษา ชุมชน ท้องถิ่น และผู้เรียน เพื่อเตรียมความพร้อม ในการจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับความต้องการและปัญหาของผู้เรียน
2. จัดประชุมครูที่ปรึกษากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
ประชุมครูที่ปรึกษากิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางในการจัด กิจกรรมให้มีความเหมาะสมกับสภาพความต้องการและปัญหาของสถานศึกษา ชุมชน ท้องถิ่น และผู้เรียน
3. จัดทำแผนงาน โครงการ และปฏิทินงานกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
จัดทำและรวบรวม แผนงาน โครงการ ปฏิทินงานกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยกำหนดเป็นรายภาคเรียน หรือรายปีการศึกษาหรือตามระยะเวลาที่กำหนดและเสนอขออนุมัติต่อผู้บริหารสถานศึกษา
4. ให้คำปรึกษาแก่ครูที่ปรึกษากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และผู้เรียน
มีหน้าที่ให้คำปรึกษา เพื่อช่วยให้การดำเนินการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
5. นิเทศ ติดตาม และประสานงานการดำเนินการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
ประสานงานและอำนวยความสะดวกให้การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย และนิเทศ ติดตามให้เป็นไปตามระเบียบและหลักเกณฑ์การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนของสถานศึกษา
6. รวบรวมผลการประเมินการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
รวบรวมผลการประเมินการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนจากครูที่ปรึกษากิจกรรมตลอดจนปัญหาและอุปสรรค ในการจัดกิจกรรม และนำเสนอแนวทางในการพัฒนาการจัดกิจกรรมพัฒนา ผู้เรียนต่อผู้บริหารสถานศึกษา
บทบาทของครูที่ปรึกษากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
ครูทุกคนต้องเป็นครูที่ปรึกษากิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตามคำขอของผู้เรียนหรือตามที่สถานศึกษามอบหมาย ซึ่งจะต้องมีบทบาทดังต่อไปนี้
1. ปฐมนิเทศ
ปฐมนิเทศให้ผู้เรียนเข้าใจเป้าหมายและวิธีการดำเนินการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
2. เลือกตั้งคณะกรรมการ
จัดให้ผู้เรียนเลือกตั้งคณะกรรมการดำเนินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
3. ส่งเสริมการจัดทำแผนงาน/โครงการ
ส่งเสริมให้ผู้เรียนที่เป็นสมาชิกของกิจกรรมร่วมแสดงความคิดเห็นในการจัดทำแผนงาน/โครงการและปฏิทินการปฏิบัติงานอย่างอิสระ
4. ประสานงาน
ประสานงานและอำนวยความสะดวกในด้านทรัพยากรตามความเหมาะสม
5. ให้คำปรึกษา
ให้คำปรึกษา ดูแล ติดตามการจัดกิจกรรมของผู้เรียนให้เป็นไปตามแผนงานด้วย
ความเรียบร้อยและปลอดภัย
6. ประเมินผล
ประเมินผลการเข้าร่วมและการปฏิบัติกิจกรรมของผู้เรียน
7. สรุปและรายงานผล
สรุปและรายงานผลการจัดกิจกรรมต่อหัวหน้ากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
บทบาทของผู้เรียน
ผู้เรียนทุกคนมีบทบาทในกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ดังนี้
1. เข้าร่วมกิจกรรมตามความสนใจ ความถนัด และความสามารถ
ผู้เรียนทุกคนต้องเข้าร่วมกิจกรรม ตามความถนัดและความสนใจทุกภาคเรียน โดยรวมกลุ่มเสนอกิจกรรมตามความต้องการหรืออาจเข้าร่วมกิจกรรมตามข้อเสนอแนะของสถานศึกษา
2. รับการปฐมนิเทศจากครูที่ปรึกษากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
ผู้เรียนจะต้องพบครูที่ปรึกษากิจกรรม เข้ารับการปฐมนิเทศ รับฟังข้อเสนอแนะต่าง ๆ เพื่อเข้าร่วมและดำเนินการจัดกิจกรรมได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
3. ประชุมเลือกตั้งคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ
ประชุมเลือกตั้งคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ ประกอบด้วย ประธาน เลขานุการ เหรัญญิก นายทะเบียน และอื่นๆ ตามความเหมาะสม
4. ประชุมวางแผน จัดทำ แผนงาน โครงการ และปฏิทินงาน
การดำเนินกิจกรรมให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ จำเป็นต้องมีการวางแผนในการดำเนินงาน ที่ประชุมควรเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการวางแผน และจัดทำโครงการปฏิทินงานที่กำหนดวัน เวลา ไว้อย่างชัดเจน แล้วนำเสนอต่อครูที่ปรึกษากิจกรรม
5. ปฏิบัติกิจกรรมตามแผนงาน โครงการ และปฏิทินงานที่ได้กำหนดไว้
เมื่อแผนงาน โครงการ และปฏิทินงานได้รับอนุมัติจากผู้บริหารสถานศึกษาแล้ว ผู้เรียนจึงจะสามารถปฏิบัติกิจกรรมตามแผนงาน โครงการและปฏิทินงานที่ได้กำหนดไว้ในรูปแบบของคณะกรรมการที่ได้รับการเลือกตั้งโดยใช้กระบวนการกลุ่ม และให้ผู้เรียนทุกคนได้พัฒนาตนเองให้เต็มศักยภาพ ตามความสนใจ ความถนัด และความสามารถ
6. ประเมินผลการปฏิบัติกิจกรรม
การประเมินผลการปฏิบัติกิจกรรมสามารถประเมินผลได้ดังนี้
6.1 ประเมินผลเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง
6.2 ประเมินตนเองและประเมินเพื่อนร่วมกิจกรรม จากพฤติกรรมและคุณภาพของงาน
7. สรุปผลการปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
เมื่อปฏิบัติกิจกรรมเสร็จสิ้นตามโครงการแล้วคณะกรรมการดำเนินกิจกรรมจะต้องประชุมเพื่อสรุปผลการปฏิบัติกิจกรรมและนำเสนอครูที่ปรึกษากิจกรรม
บทบาทของผู้ปกครองและชุมชน
ผู้ปกครองมีบทบาทในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนดังนี้
1. ร่วมมือประสานงาน
ร่วมมือกับสถานศึกษาในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
2. ส่งเสริมสนับสนุน
2.1 ให้โอกาสผู้เรียน ได้ใช้สถานประกอบการเป็นแหล่งเรียนรู้
2.2 เป็นวิทยากรให้ความรู้ และประสบการณ์
2.3 ให้การสนับสนุน วัสดุ อุปกรณ์ งบประมาณ ในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
2.4 ดูแลเอาใจใส่ผู้เรียนและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการป้องกัน แก้ไข และพัฒนาผู้เรียน
3. ติดตาม ประเมินผล
3.1 ร่วมมือกับสถานศึกษาเพื่อติดตามพัฒนาการของผู้เรียน
3.2 บันทึกสรุปพัฒนาการ และการปฏิบัติกิจกรรมของผู้เรียน
7. ขั้นตอนการดำเนินการจัด
1. ประชุมชี้แจงคณะครู ผู้เรียน ผู้ปกครอง เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการ
จัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2. สำรวจข้อมูล
2.1 ความพร้อมของสถานศึกษา ชุมชน และท้องถิ่น
2.2 สภาพปัญหา และความต้องการของผู้เรียน
3. ร่วมกันวางแผนระหว่างคณะครู ผู้เรียนและผู้เกี่ยวข้อง จัดทำแผนงาน โครงการปฏิทินปฏิบัติงาน กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ทุกภาคเรียน และเสนอขออนุมัติ
4. ปฏิบัติกิจกรรมตามแผนงาน โครงการ ปฏิทินปฏิบัติงาน กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ที่กำหนดไว้
5. นิเทศ ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน
6. สรุป รายงานผลการปฏิบัติงาน
8. การประเมินผล
การประเมินผลการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เป็นเงื่อนไขสำคัญประการหนึ่ง สำหรับการผ่านช่วงชั้นหรือจบหลักสูตร ผู้เรียนต้องเข้าร่วมและปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ตลอดจน ผ่านการประเมินตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนดตามแนวประเมินดังนี้
1. ประเมินการร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตามวัตถุประสงค์ ด้วยวิธีการที่หลากหลาย ตามสภาพจริงให้ได้ผลการประเมินที่ถูกต้อง ครบถ้วน
2. ครูที่ปรึกษากิจกรรม ผู้เรียนและผู้ปกครอง จะมีบทบาทในการประเมินดังนี้
2.1 ครูที่ปรึกษากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
(1) ต้องดูแลและพัฒนาผู้เรียนให้เกิดคุณลักษณะตามวัตถุประสงค์ของ กิจกรรม
(2) ต้องรายงานเวลา และพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรม
(3) ต้องศึกษาติดตาม และพัฒนาผู้เรียนในกรณีผู้เรียนไม่เข้าร่วมกิจกรรม
2.2 ผู้เรียน
(1) ปฏิบัติกิจกรรมให้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์
(2) มีหลักฐานแสดงการเข้าร่วมกิจกรรมไม่น้อยกว่า 80% หรือตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด พร้อมทั้งแสดงผลการปฏิบัติกิจกรรม และพัฒนาการด้านต่าง ๆ
(3) ถ้าไม่เกิดคุณลักษณะตามวัตถุประสงค์ ต้องปฏิบัติกิจกรรมเพิ่มเติมตามที่ครูที่ปรึกษากิจกรรมมอบหมาย หรือให้ความเห็นชอบตามที่ผู้เรียนเสนอ
(4) ประเมินตนเองและเพื่อนร่วมกิจกรรม
2.3 ผู้ปกครอง
(1) ผู้ปกครองให้ความร่วมมือในการติดตามพัฒนาการของผู้เรียนกับสถานศึกษาเป็นระยะ ๆ
(2) ผู้ปกครองบันทึกความเห็น สรุปพัฒนาการและการปฏิบัติกิจกรรมของผู้เรียน
3. เกณฑ์การผ่านกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
3.1 ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างน้อย 80% หรือตามที่สถานศึกษากำหนด
3.2 ผู้เรียนผ่านจุดประสงค์ที่สำคัญของแต่ละกิจกรรม
1. ความสำคัญ
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 กำหนดแนวการจัดการศึกษา โดยยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติ และเต็มตามศักยภาพ โดยจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกัน แก้ปัญหาและเรียนรู้จากประสบการณ์จริง กอปรกับมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคมและเทคโนโลยี ก่อให้เกิดทั้งผลดีและผลเสียต่อการดำเนินชีวิตในปัจจุบันของบุคคล ทำให้เกิดความยุ่งยากซับซ้อนมากยิ่งขึ้น จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณค่า มีศักดิ์ศรี และมีความสุข
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน กำหนดให้มีสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่ม และกิจกรรมพัฒนา ผู้เรียน ซึ่งกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเป็นกิจกรรมที่จัดให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถของตนเองตามศักยภาพ มุ่งเน้นเพิ่มเติมจากกิจกรรมที่ได้จัดให้เรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ทั้ง 8 กลุ่ม การเข้า ร่วมและปฏิบัติกิจกรรมที่เหมาะสมร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุขกับกิจกรรมที่เลือกด้วยตนเองตามความถนัด และความสนใจอย่างแท้จริง การพัฒนาที่สำคัญ ได้แก่ การพัฒนาองค์รวมของความเป็นมนุษย์ให้ครบทุกด้าน ทั้งร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม โดยอาจจัดเป็นแนวทางหนึ่งที่จะสนองนโยบายในการสร้างเยาวชนของชาติให้เป็นผู้มีศีลธรรม จริยธรรม มีระเบียบวินัย และมีคุณภาพเพื่อพัฒนาองค์รวมของความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ปลูกฝังและสร้างจิตสำนึกของการทำประโยชน์เพื่อสังคม ซึ่งสถานศึกษาจะต้องดำเนินการอย่างมีเป้าหมาย มีรูปแบบและวิธีการที่เหมาะสมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ
กิจกรรมแนะแนว เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนาความสามารถของผู้เรียนให้เหมาะสมตามความแตกต่างระหว่างบุคคล สามารถค้นพบและพัฒนาศักยภาพของตน เสริมสร้างทักษะชีวิต วุฒิภาวะทางอารมณ์ การเรียนรู้ในเชิงพหุปัญญา และการสร้างสัมพันธภาพที่ดี ซึ่งผู้สอนทุกคนต้องทำหน้าที่แนะแนวให้คำปรึกษาด้านชีวิต การศึกษาต่อและการพัฒนาตนเองสู่โลกอาชีพและการมี งานทำ
กิจกรรมนักเรียน เป็นกิจกรรมที่เกิดจากความสมัครใจของผู้เรียนมุ่งพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์เพิ่มเติมจากกิจกรรมในกลุ่มสาระ เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกัน แก้ปัญหา ส่งเสริมศักยภาพของผู้เรียนอย่างเต็มที่ รวมถึงกิจกรรมที่มุ่งปลูกฝังความมีระเบียบวินัย รับผิดชอบ รู้สิทธิและหน้าที่ของตนเองในการอยู่ร่วมกันตามระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แบ่ง ตามความแตกต่างระหว่างกิจกรรมได้เป็น 2 ลักษณะ
1. กิจกรรมพัฒนาความถนัด ความสนใจ ตามความต้องการของผู้เรียน เป็นกิจกรรม
ที่มุ่งเน้นการเติมเต็มความรู้ ความชำนาญและประสบการณ์ของผู้เรียนให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เพื่อการค้นพบความถนัดความสนใจของตนเอง และพัฒนาตนเองให้เต็มศักยภาพ ตลอดจนการพัฒนาทักษะของสังคม และปลูกฝังจิตสำนึกของการทำประโยชน์เพื่อสังคม
2. กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด และผู้บำเพ็ญประโยชน์ เป็นกิจกรรมที่มุ่ง
ปลูกฝัง ระเบียบวินัย กฎเกณฑ์ เพื่อการอยู่ร่วมกันในสภาพชีวิตต่าง ๆ นำไปสู่พื้นฐานการทำประโยชน์ให้แก่สังคม และวิถีชีวิตในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งกระบวนการจัดให้เป็นไปตามข้อกำหนดของคณะกรรมการลูกเสือแห่งชาติ ยุวกาชาด สมาคม ผู้บำเพ็ญประโยชน์และกรมรักษาดินแดน
ทั้งนี้ ในทางปฏิบัติสถานศึกษาจัดกิจกรรมในลักษณะของการบูรณาการองค์ความรู้ ต่าง ๆ ที่เกื้อกูลส่งเสริมการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ให้มีความกว้างขวางลึกซึ้งยิ่งขึ้น อีกทั้งให้ ผู้เรียนได้ค้นพบและใช้ศักยภาพที่มีในตนอย่างเต็มที่ เลือก ตัดสินใจ ได้อย่างมีเหตุผลเหมาะสมกับ ตนเอง สามารถวางแผนชีวิตและอาชีพได้อย่างมีคุณภาพ เน้นการ เสริมสร้างทักษะชีวิต วุฒิภาวะทางอารมณ์ ศีลธรรม และจริยธรรม รู้จักสร้างสัมพันธภาพที่ดีเพื่อปรับตัวเข้ากับบุคคลและสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างดีและมีความสุข เช่น กิจกรรมการสร้างเสริมความรู้สึกรักและเห็นคุณค่าใน ตนเอง กิจกรรมพัฒนาวุฒิภาวะทางอารมณ์ ศีลธรรม และจริยธรรม กิจกรรมพัฒนาทักษะชีวิต กิจกรรมสร้างเสริมประสิทธิภาพการเรียน เป็นต้น กิจกรรมเหล่านี้สามารถหลอมเข้าไปในการจัด กิจกรรมลูกเสือเนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บำเพ็ญประโยชน์ในลักษณะของการ เข้าค่ายต่าง ๆ หรืออาจแยกจัดเป็นกิจกรรมเฉพาะทางได้ เช่น จัดกิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บำเพ็ญประโยชน์ โดยมุ่งเป็นการฝึกระเบียบวินัย การอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข กิจกรรมชมรมวิชาการ มุ่งเน้น ประสบการณ์ความชำนาญเฉพาะเรื่องที่ถนัดและสนใจจากการเรียนรู้กลุ่มสาระต่าง ๆ ชุมนุมต่าง ๆ เพื่อการร่วมกับคิดค้นกิจกรรมที่สร้างสรรค์ก่อให้เกิดความสนุก ความสุข และพัฒนาทักษะทางสังคม ทั้งนี้แม้จะแยกจัดกิจกรรมเฉพาะทางก็สามารถบูรณาการกิจกรรมแนะแนวเข้าไว้ด้วย เพื่อให้ค้นพบศักยภาพของตนเองด้วย
2. ความหมาย
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เป็นกิจกรรมที่จัดอย่างเป็นกระบวนการด้วยรูปแบบ วิธีการที่ หลากหลาย ในการพัฒนาผู้เรียนทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ และสังคม มุ่งเสริมเจตคติ
คุณค่าชีวิต ปลูกฝังคุณธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักและเข้าใจตนเอง สร้างจิตสำนึกในธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ปรับตัวและปฏิบัติตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ประเทศชาติ และดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข
3. เป้าหมาย
การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนมุ่งพัฒนาให้บุคคลรู้จักและเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่น มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ มีกระบวนการคิด มีทักษะในการดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสม และมีความสุข มีจิตสำนึกในการรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ โดยกำหนดเป้าหมายในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนดังนี้
1. ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย เกิดความรู้ ความชำนาญ ทั้งวิชาการและ วิชาชีพอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น
2. ผู้เรียนค้นพบความสนใจ ความถนัด และพัฒนาความสามารถพิเศษเฉพาะตัว มองเห็นช่องทางในการสร้างงาน อาชีพในอนาคตได้เหมาะสมกับตนเอง
3. ผู้เรียนเห็นคุณค่าขององค์ความรู้ต่าง ๆ สามารถนำความรู้และประสบการณ์ไปใช้ในการพัฒนาตนเอง และประกอบสัมมาชีพ
4. ผู้เรียนพัฒนาบุคลิกภาพ เจตคติ ค่านิยมในการดำเนินชีวิต และเสริมสร้างศีลธรรม จริยธรรม
5. ผู้เรียนมีจิตสำนึกและทำประโยชน์เพื่อสังคมและประเทศชาติ
4. หลักการจัด
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนมีหลักการจัดดังนี้
1. มีการกำหนดวัตถุประสงค์และแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม
2. จัดให้เหมาะสมกับวัย วุฒิภาวะ ความสนใจ ความถนัด และความสามารถของผู้เรียน
3. บูรณาการวิชาการกับชีวิตจริง ให้ผู้เรียนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิต
4. ใช้กระบวนการกลุ่มในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ฝึกให้คิดวิเคราะห์ สร้างสรรค์
จินตนาการ ที่เป็นประโยชน์และสัมพันธ์กับชีวิตในแต่ละช่วงวัยอย่างต่อเนื่อง
5. จำนวนสมาชิกมีความเหมาะสมกับลักษณะของกิจกรรม
6. มีการกำหนดเวลาในการจัดกิจกรรมให้เหมาะสม สอดคล้องกับวิสัยทัศน์และ เป้าหมายของสถานศึกษา
7. ผู้เรียนเป็นผู้ดำเนินการ มีครูเป็นที่ปรึกษาถือเป็นหน้าที่และงานประจำโดยคำนึงถึงความปลอดภัย
8. ยึดหลักการมีส่วนร่วม โดยเปิดโอกาสให้ครู พ่อแม่ ผู้ปกครอง ชุมชน องค์กร ทั้งภาครัฐ และเอกชน มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรม
9. มีการประเมินผลการปฏิบัติกิจกรรม โดยวิธีการที่หลากหลายและสอดคล้องกับกิจกรรมอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง โดยให้ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเมินผลการผ่านช่วงชั้นเรียน
5. แนวการจัด
สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนเข้าร่วมกิจกรรม โดยคำนึงถึงแนวการจัดดังต่อไปนี้
1. การจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเกื้อกูลส่งเสริมการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ เช่น การบูรณการโครงการ องค์ความรู้จากกลุ่มสาระการเรียนรู้ เป็นต้น
2. จัดกิจกรรมตามความสนใจ ความถนัดตามธรรมชาติ และความสามารถ ความต้องการ ของผู้เรียนและชุมชน เช่น ชมรมทางวิชาการต่าง ๆ เป็นต้น
3. จัดกิจกรรมเพื่อปลูกฝังและสร้างจิตสำนึกในการทำประโยชน์ต่อสังคม เช่น กิจกรรม ลูกเสือ เนตรนารี เป็นต้น
4. จัดกิจกรรมประเภทบริการด้านต่าง ๆ ฝึกการทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและ ส่วนรวม
กิจกรรมต่อไปนี้เป็นกิจกรรมที่สถานศึกษาอาจเสนอแนะต่อผู้เรียน
1. กิจกรรมสร้างเสริมความรู้สึกรักและเห็นคุณค่าในตนเอง
เป็นกิจกรรมที่มุ่งสร้างเสริมความรู้สึกรักและเห็นคุณค่าในตนเอง เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสำรวจ วิเคราะห์ประเมินตนเองตามความเป็นจริง จนกระทั่งรู้จัก เข้าใจ ยอมรับ ควบคุมและพัฒนาตนเอง มีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น รู้ว่าตนมีความสามารถ มีคุณค่า สามารถสร้างสิ่งดีงาม ให้แก่ตนเอง ครอบครัว สังคม และดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข
2. กิจกรรมพัฒนาวุฒิภาวะทางอารมณ์ ศีลธรรม และจริยธรรม
เป็นกิจกรรมที่มุ่งพัฒนาวุฒิภาวะทางอารมณ์ เชาวน์ปัญญาในการแก้ปัญหา เชาวน์ปัญญาทางด้านศีลธรรม และจริยธรรม เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความสมดุลทั้งด้านจิตใจ ร่างกาย อารมณ์ และสังคม ทำให้ดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ และมีความสุข ประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นคนดี มีปัญญา และมีความสุข
3. กิจกรรมสร้างเสริมประสิทธิภาพในการเรียน
เป็นกิจกรรมที่มุ่งสร้างเสริมประสิทธิภาพในการเรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาการเรียนรู้ของตนได้เต็มตามศักยภาพ มีเจตคติที่ดีต่อการเรียน มีนิสัยในการเรียนที่ดี เห็นคุณค่าของ การแสวงหาความรู้ มีเทคนิคและวิธีการเรียนที่ดี รู้ว่าปัจจัยส่งเสริมการเรียนที่ดี และวางแผนการศึกษา และอนาคตของตนได้
4. กิจกรรมสร้างเสริมนิสัยรักการทำงาน
เป็นกิจกรรมที่มุ่งสร้างเสริมนิสัยรักการทำงาน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนรู้จักและเข้าใจตนเอง ปลูกฝังค่านิยมนิสัยรักการทำงาน แสดงถึงความพึงพอใจ มุ่งมั่นที่จะทำงานให้บรรลุผลสำเร็จ และมีความภาคภูมิใจในผลงานของตน
5. กิจกรรมสร้างเสริมนิสัยการทำประโยชน์เพื่อสังคม
เป็นกิจกรรมที่มุ่งสร้างเสริมนิสัยการทำประโยชน์เพื่อสังคม เพื่อช่วยให้ผู้เรียนรู้จักและเข้าใจตนเอง ปลูกฝังคุณลักษณะนิสัยที่เอื้อต่อการทำประโยชน์เพื่อสังคม เห็นแนวทางที่จะทำประโยชน์ให้กับสังคม และสามารถนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้
6. กิจกรรมพัฒนาทักษะชีวิต
เป็นกิจกรรมที่มุ่งสร้างเสริมความสามารถในการปรับตัวอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข เพื่อช่วยให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ สามารถจัด การกับความต้องการความขัดแย้ง อุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง ตลอดจนสร้างสรรค์เปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้นได้
7. กิจกรรมฉลาดกินฉลาดใช้
เป็นกิจกรรมที่มุ่งสร้างเสริม พัฒนาการคิด วิเคราะห์ ตัดสินใจเลือกบริโภค โดย ยึดหลักประโยชน์ ประหยัด และปลอดภัยเพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการบริโภคในชีวิตประจำวันได้
8. กิจกรรมศิลปินนักอ่าน
เป็นกิจกรรมที่มุ่งสร้างเสริมพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงร้อยแก้วหรือร้อยกรองตามความสนใจของผู้เรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถอ่านออกเสียงได้ถูกต้องตามหลักการอ่าน
9. กิจกรรมเพื่อนที่แสนดี
เป็นกิจกรรมที่มุ่งสร้างเสริม พัฒนาให้มีความสามารถปรับปรุงตนเองในการปฏิบัติต่อผู้อื่นได้อย่างเหมาะสมช่วยให้ผู้เรียนได้ ปฏิบัติตนช่วยเหลือผู้อื่นที่เดือดร้อนได้
10. กิจกรรมบริการแนะแนวและให้คำปรึกษา
เป็นกิจกรรมมุ่งส่งเสริมให้รักการทำงานก็เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ส่วนรวม และมีความสามารถในการให้บริการ มีทักษะในการ ให้คำปรึกษา เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเป็นผู้ให้การแนะแนวและให้คำปรึกษาเบื้องต้นได้ และเป็นการทำประโยชน์ให้แก่สังคม
11. กิจกรรมลูกเสือ-เนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บำเพ็ญประโยชน์ และรักษาดินแดน
เป็นกิจกรรมที่มุ่งจัดฝึกอบรมบ่มนิสัย ให้เป็นพลเมืองดีตามจารีตประเพณีของชาติ บ้านเมืองและตามอุดมคติ อุดมการณ์ของลูกเสือ-เนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บำเพ็ญประโยชน์ และ รักษาดินแดน โดยดำเนินการจัดกิจกรรมให้เป็นไปตามข้อกำหนดของคณะกรรมการลูกเสือแห่งชาติ ยุวกาชาด สมาคมผู้บำเพ็ญประโยชน์ และกรมรักษาดินแดน
12. กิจกรรมพิทักษ์ป่า
เป็นกิจกรรมที่มุ่งสร้างเสริมกระบวนการอนุรักษ์และพัฒนาป่าโดยการเข้าค่ายในป่ามีการออกระเบียบกฎเกณฑ์ของการอยู่ร่วมกันในค่าย การเดินทางไกลพัฒนาทักษะการสังเกต คิด ตัดสินใจ แก้ปัญหาและคิดสร้างสรรค์ในการอนุรักษ์และพัฒนาป่า
13. กิจกรรมผู้บำเพ็ญประโยชน์ เรียนรู้ร่วมกัน
เป็นกิจกรรมที่สร้างเสริม สนับสนุนให้เด็กหญิง เยาวสตรีได้เรียนรู้กิจกรรมผู้บำเพ็ญประโยชน์ ฝึกทักษะในการเป็นผู้ช่วยเหลือ แสดงความเมตตา กรุณา ทุกคนร่วมกันปฏิญาณตนเพื่อปฏิบัติตามกฎผู้บำเพ็ญประโยชน์ ได้เรียนรู้กระบวนการกลุ่มในการอยู่ร่วมกัน สามารถค้นพบความสามารถ สนใจ และเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ
นอกจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่เสนอแนะไว้แล้วข้างต้น ผู้เรียนอาจเสนอกิจกรรมอื่น ๆ ได้ตามความต้องการ และความสนใจ เช่น กิจกรรมทำหนังสือรุ่น กิจกรรมทำหนังสือพิมพ์โรงเรียนเป็นต้น
6. บทบาทของบุคลากรที่เกี่ยวข้อง
ในการดำเนินการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนให้มีประสิทธิผล จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกำหนดบทบาทหน้าที่ของบุคลากรที่เกี่ยวข้อง สถานศึกษาจะสามารถนำไปปรับปรุงและเลือกปฏิบัติได้ตามความเหมาะสมและความพร้อมของแต่ละสถานศึกษา คือ
บทบาทของคณะกรรมการสถานศึกษา
ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 หมวด 4 มาตรา 29 และหมวด 5 มาตรา 40 ที่มุ่งเน้นให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาและให้มีคณะกรรมการสถานศึกษาขั้น พื้นฐาน เพื่อทำหน้าที่ กำกับ และส่งเสริมสนับสนุนในการบริหารจัดการในสถานศึกษานั้น คณะกรรมการสถานศึกษาควรมีบทบาทในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ดังนี้
1. ให้ความเห็นชอบ มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย เป้าหมายและดำเนินการ
1.1 มีส่วนร่วมในการวางแผน วิเคราะห์การจัดกิจกรรมของสถานศึกษา
1.2 ให้ความเห็นชอบแผนการจัดกิจกรรมของสถานศึกษา
1.3 มีส่วนร่วมในการดำเนินการจัดกิจกรรมให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
1.4 มีส่วนร่วมในการประเมินผล เพื่อปรับปรุงและพัฒนาในโอกาสต่อไป
2. ส่งเสริม สนับสนุน การดำเนินการจัดกิจกรรมของสถานศึกษาในด้านต่าง ๆ
2.1 ด้านงบประมาณ กรรมการสถานศึกษาต้องมีส่วนในการจัดหางบประมาณ สนับสนุนการจัดกิจกรรม วัสดุภัณฑ์ เครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ ในการปฏิบัติกิจกรรม
2.2 เป็นวิทยากรและแนะนำวิทยากร คณะกรรมการสถานศึกษาส่วนใหญ่ประกอบไปด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาต่าง ๆ ผู้แทนองค์กรปกครองท้องถิ่น ผู้แทนชุมชน ผู้แทน
ผู้ปกครอง และศิษย์เก่า ซึ่งล้วนแต่มีศักยภาพในตัวเอง ฉะนั้นจึงสามารถเป็นวิทยากรหรือจัดหาวิทยากรภายนอกในกรณีที่ขาดผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาที่กำหนดในกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
2.3 ให้คำปรึกษาและส่งเสริมการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ในการจัดกิจกรรมพัฒนา ผู้เรียน ควรกำหนดให้สอดคล้องกับภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของ
วัฒนธรรมท้องถิ่น และตระหนักในหน้าที่ในการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น
2.4 เป็นแหล่งศึกษาและแหล่งข้อมูล กรรมการสถานศึกษาจะต้องมีการประสานสัมพันธ์กับแหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น ที่เป็นโรงงาน สถานประกอบการ แหล่งวิทยาการต่าง ๆ เพื่อให้ความร่วมมือในการใช้เป็นแหล่งฝึกปฏิบัติกิจกรรม และเป็นแหล่งศึกษาดูงานตามความต้องการของผู้เรียนในแต่ละกิจกรรม
บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษา
บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษา ในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนของสถานศึกษา มีดังนี้
1. กำหนดโยบายและแนวทางปฏิบัติ
ผู้บริหารสถานศึกษาร่วมกับคณะกรรมการกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนหรือหัวหน้า กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน กำหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติดังนี้
1.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 และคู่มือการจัด
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตามคำสั่งของกระทรวงศึกษาธิการ
1.2 กำหนดระเบียบและหลักเกณฑ์การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนของสถานศึกษา
1.3 ศึกษาข้อมูล แหล่งวิทยาการการเรียนรู้ในชุมชนและท้องถิ่น
1.4 กำหนดและมอบหมายบุคลากรที่เกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนในสถานศึกษา
2. นิเทศและติดตาม
2.1 นิเทศและติดตามการจัดทำแผนงาน โครงการ ปฏิทินงานของหัวหน้าหมวด กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและอนุมัติให้ความเห็นชอบ
2.2 นิเทศ ติดตามการดำเนินงานกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนอย่างต่อเนื่องให้เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของสถานศึกษาและเป้าหมายของการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
3. ส่งเสริมสนับสนุน
3.1 ให้มีการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน
3.2 ส่งเสริมการจัดกิจกรรมที่เน้นวัฒนธรรมหรือภูมิปัญญาท้องถิ่น
3.3 สนับสนุนทรัพยากรที่เกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
3.4 ให้คำปรึกษาแก่บุคลากรที่เกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
4. ประเมินและรายงาน
4.1 รับทราบผลการประเมินพร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเพื่อเป็นประโยชน์ในการจัดกิจกรรมในภาคเรียนต่อไป
4.2 รายงานการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ให้คณะกรรมการสถานศึกษาทราบเพื่อเป็นประโยชน์ในการจัดกิจกรรมในภาคเรียนต่อไป
บทบาทของหัวหน้ากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
บทบาทของหัวหน้ากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนของ
สถานศึกษามีดังนี้
1. สำรวจข้อมูลความพร้อม ความต้องการและสภาพปัญหา
ดำเนินการสำรวจข้อมูลความพร้อม ความต้องการ และสภาพปัญหาของ สถานศึกษา ชุมชน ท้องถิ่น และผู้เรียน เพื่อเตรียมความพร้อม ในการจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับความต้องการและปัญหาของผู้เรียน
2. จัดประชุมครูที่ปรึกษากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
ประชุมครูที่ปรึกษากิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางในการจัด กิจกรรมให้มีความเหมาะสมกับสภาพความต้องการและปัญหาของสถานศึกษา ชุมชน ท้องถิ่น และผู้เรียน
3. จัดทำแผนงาน โครงการ และปฏิทินงานกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
จัดทำและรวบรวม แผนงาน โครงการ ปฏิทินงานกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยกำหนดเป็นรายภาคเรียน หรือรายปีการศึกษาหรือตามระยะเวลาที่กำหนดและเสนอขออนุมัติต่อผู้บริหารสถานศึกษา
4. ให้คำปรึกษาแก่ครูที่ปรึกษากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และผู้เรียน
มีหน้าที่ให้คำปรึกษา เพื่อช่วยให้การดำเนินการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
5. นิเทศ ติดตาม และประสานงานการดำเนินการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
ประสานงานและอำนวยความสะดวกให้การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย และนิเทศ ติดตามให้เป็นไปตามระเบียบและหลักเกณฑ์การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนของสถานศึกษา
6. รวบรวมผลการประเมินการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
รวบรวมผลการประเมินการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนจากครูที่ปรึกษากิจกรรมตลอดจนปัญหาและอุปสรรค ในการจัดกิจกรรม และนำเสนอแนวทางในการพัฒนาการจัดกิจกรรมพัฒนา ผู้เรียนต่อผู้บริหารสถานศึกษา
บทบาทของครูที่ปรึกษากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
ครูทุกคนต้องเป็นครูที่ปรึกษากิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตามคำขอของผู้เรียนหรือตามที่สถานศึกษามอบหมาย ซึ่งจะต้องมีบทบาทดังต่อไปนี้
1. ปฐมนิเทศ
ปฐมนิเทศให้ผู้เรียนเข้าใจเป้าหมายและวิธีการดำเนินการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
2. เลือกตั้งคณะกรรมการ
จัดให้ผู้เรียนเลือกตั้งคณะกรรมการดำเนินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
3. ส่งเสริมการจัดทำแผนงาน/โครงการ
ส่งเสริมให้ผู้เรียนที่เป็นสมาชิกของกิจกรรมร่วมแสดงความคิดเห็นในการจัดทำแผนงาน/โครงการและปฏิทินการปฏิบัติงานอย่างอิสระ
4. ประสานงาน
ประสานงานและอำนวยความสะดวกในด้านทรัพยากรตามความเหมาะสม
5. ให้คำปรึกษา
ให้คำปรึกษา ดูแล ติดตามการจัดกิจกรรมของผู้เรียนให้เป็นไปตามแผนงานด้วย
ความเรียบร้อยและปลอดภัย
6. ประเมินผล
ประเมินผลการเข้าร่วมและการปฏิบัติกิจกรรมของผู้เรียน
7. สรุปและรายงานผล
สรุปและรายงานผลการจัดกิจกรรมต่อหัวหน้ากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
บทบาทของผู้เรียน
ผู้เรียนทุกคนมีบทบาทในกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ดังนี้
1. เข้าร่วมกิจกรรมตามความสนใจ ความถนัด และความสามารถ
ผู้เรียนทุกคนต้องเข้าร่วมกิจกรรม ตามความถนัดและความสนใจทุกภาคเรียน โดยรวมกลุ่มเสนอกิจกรรมตามความต้องการหรืออาจเข้าร่วมกิจกรรมตามข้อเสนอแนะของสถานศึกษา
2. รับการปฐมนิเทศจากครูที่ปรึกษากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
ผู้เรียนจะต้องพบครูที่ปรึกษากิจกรรม เข้ารับการปฐมนิเทศ รับฟังข้อเสนอแนะต่าง ๆ เพื่อเข้าร่วมและดำเนินการจัดกิจกรรมได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
3. ประชุมเลือกตั้งคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ
ประชุมเลือกตั้งคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ ประกอบด้วย ประธาน เลขานุการ เหรัญญิก นายทะเบียน และอื่นๆ ตามความเหมาะสม
4. ประชุมวางแผน จัดทำ แผนงาน โครงการ และปฏิทินงาน
การดำเนินกิจกรรมให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ จำเป็นต้องมีการวางแผนในการดำเนินงาน ที่ประชุมควรเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการวางแผน และจัดทำโครงการปฏิทินงานที่กำหนดวัน เวลา ไว้อย่างชัดเจน แล้วนำเสนอต่อครูที่ปรึกษากิจกรรม
5. ปฏิบัติกิจกรรมตามแผนงาน โครงการ และปฏิทินงานที่ได้กำหนดไว้
เมื่อแผนงาน โครงการ และปฏิทินงานได้รับอนุมัติจากผู้บริหารสถานศึกษาแล้ว ผู้เรียนจึงจะสามารถปฏิบัติกิจกรรมตามแผนงาน โครงการและปฏิทินงานที่ได้กำหนดไว้ในรูปแบบของคณะกรรมการที่ได้รับการเลือกตั้งโดยใช้กระบวนการกลุ่ม และให้ผู้เรียนทุกคนได้พัฒนาตนเองให้เต็มศักยภาพ ตามความสนใจ ความถนัด และความสามารถ
6. ประเมินผลการปฏิบัติกิจกรรม
การประเมินผลการปฏิบัติกิจกรรมสามารถประเมินผลได้ดังนี้
6.1 ประเมินผลเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง
6.2 ประเมินตนเองและประเมินเพื่อนร่วมกิจกรรม จากพฤติกรรมและคุณภาพของงาน
7. สรุปผลการปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
เมื่อปฏิบัติกิจกรรมเสร็จสิ้นตามโครงการแล้วคณะกรรมการดำเนินกิจกรรมจะต้องประชุมเพื่อสรุปผลการปฏิบัติกิจกรรมและนำเสนอครูที่ปรึกษากิจกรรม
บทบาทของผู้ปกครองและชุมชน
ผู้ปกครองมีบทบาทในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนดังนี้
1. ร่วมมือประสานงาน
ร่วมมือกับสถานศึกษาในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
2. ส่งเสริมสนับสนุน
2.1 ให้โอกาสผู้เรียน ได้ใช้สถานประกอบการเป็นแหล่งเรียนรู้
2.2 เป็นวิทยากรให้ความรู้ และประสบการณ์
2.3 ให้การสนับสนุน วัสดุ อุปกรณ์ งบประมาณ ในการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
2.4 ดูแลเอาใจใส่ผู้เรียนและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการป้องกัน แก้ไข และพัฒนาผู้เรียน
3. ติดตาม ประเมินผล
3.1 ร่วมมือกับสถานศึกษาเพื่อติดตามพัฒนาการของผู้เรียน
3.2 บันทึกสรุปพัฒนาการ และการปฏิบัติกิจกรรมของผู้เรียน
7. ขั้นตอนการดำเนินการจัด
1. ประชุมชี้แจงคณะครู ผู้เรียน ผู้ปกครอง เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการ
จัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2. สำรวจข้อมูล
2.1 ความพร้อมของสถานศึกษา ชุมชน และท้องถิ่น
2.2 สภาพปัญหา และความต้องการของผู้เรียน
3. ร่วมกันวางแผนระหว่างคณะครู ผู้เรียนและผู้เกี่ยวข้อง จัดทำแผนงาน โครงการปฏิทินปฏิบัติงาน กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ทุกภาคเรียน และเสนอขออนุมัติ
4. ปฏิบัติกิจกรรมตามแผนงาน โครงการ ปฏิทินปฏิบัติงาน กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ที่กำหนดไว้
5. นิเทศ ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน
6. สรุป รายงานผลการปฏิบัติงาน
8. การประเมินผล
การประเมินผลการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เป็นเงื่อนไขสำคัญประการหนึ่ง สำหรับการผ่านช่วงชั้นหรือจบหลักสูตร ผู้เรียนต้องเข้าร่วมและปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ตลอดจน ผ่านการประเมินตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนดตามแนวประเมินดังนี้
1. ประเมินการร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตามวัตถุประสงค์ ด้วยวิธีการที่หลากหลาย ตามสภาพจริงให้ได้ผลการประเมินที่ถูกต้อง ครบถ้วน
2. ครูที่ปรึกษากิจกรรม ผู้เรียนและผู้ปกครอง จะมีบทบาทในการประเมินดังนี้
2.1 ครูที่ปรึกษากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
(1) ต้องดูแลและพัฒนาผู้เรียนให้เกิดคุณลักษณะตามวัตถุประสงค์ของ กิจกรรม
(2) ต้องรายงานเวลา และพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรม
(3) ต้องศึกษาติดตาม และพัฒนาผู้เรียนในกรณีผู้เรียนไม่เข้าร่วมกิจกรรม
2.2 ผู้เรียน
(1) ปฏิบัติกิจกรรมให้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์
(2) มีหลักฐานแสดงการเข้าร่วมกิจกรรมไม่น้อยกว่า 80% หรือตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด พร้อมทั้งแสดงผลการปฏิบัติกิจกรรม และพัฒนาการด้านต่าง ๆ
(3) ถ้าไม่เกิดคุณลักษณะตามวัตถุประสงค์ ต้องปฏิบัติกิจกรรมเพิ่มเติมตามที่ครูที่ปรึกษากิจกรรมมอบหมาย หรือให้ความเห็นชอบตามที่ผู้เรียนเสนอ
(4) ประเมินตนเองและเพื่อนร่วมกิจกรรม
2.3 ผู้ปกครอง
(1) ผู้ปกครองให้ความร่วมมือในการติดตามพัฒนาการของผู้เรียนกับสถานศึกษาเป็นระยะ ๆ
(2) ผู้ปกครองบันทึกความเห็น สรุปพัฒนาการและการปฏิบัติกิจกรรมของผู้เรียน
3. เกณฑ์การผ่านกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
3.1 ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างน้อย 80% หรือตามที่สถานศึกษากำหนด
3.2 ผู้เรียนผ่านจุดประสงค์ที่สำคัญของแต่ละกิจกรรม
คิดยังไงกับการที่ยกเลิกเรียน ป.บัณทิต
คิดยังไงกับการที่ยกเลิกเรียน ป.บัณทิต (เสียใจมาก)
by **panatda**
เราคนนึงที่คิดจะเรียน ป.บัณทิตคิดว่าจะเรียนปีหน้าเพราะลงปีนี่ไม่ทันตั้งใจไว้สูงมากว่าจะเรียน
แต่ข่าวออกมาว่ายกเลิกให้ไปเรียน 5 ปีแทน ความรู้สึกเราตอนนี้เสียใจมากๆๆๆความหวังที่จะเป็นครู
มันตันเลย...บางคนอาจจะคิดว่าแล้วทำไมถึงไม่เรียนที่แลก..คือจะบอกว่าตลอดที่ผ่านมาเราเก็บตัง
ส่งตัวเราเองมาตลอดทั้งชีวิตและตอนนี้เราทำงานแล้วรับสอนพิเศษเด็กๆๆไปด้วยทำให้อยากจะเป็นคุณครูขึ้นมา
เพราะสิ่งมี่เราสอนไปนั้นมันเกิดผลทำให้เด็กคนนั้นสอบได้ที่คะแนนดีมาก...เรารู้ข่าวแล้วมันทำให้เรารู้สึกดี
สิ่งที่เราได้สอนไปมันได้ผล........แต่ต่อไปคงหมดดอกาศที่จะเป็นคุณครูอย่างที่คิดไว้แล้ว(ขอระบายหน่อยนะค่ะเสียใจมากๆๆๆค่ะ)
ผมก็มีความรู้สึกเหมือนกัน กับคน panatda
by **panatda**
เราคนนึงที่คิดจะเรียน ป.บัณทิตคิดว่าจะเรียนปีหน้าเพราะลงปีนี่ไม่ทันตั้งใจไว้สูงมากว่าจะเรียน
แต่ข่าวออกมาว่ายกเลิกให้ไปเรียน 5 ปีแทน ความรู้สึกเราตอนนี้เสียใจมากๆๆๆความหวังที่จะเป็นครู
มันตันเลย...บางคนอาจจะคิดว่าแล้วทำไมถึงไม่เรียนที่แลก..คือจะบอกว่าตลอดที่ผ่านมาเราเก็บตัง
ส่งตัวเราเองมาตลอดทั้งชีวิตและตอนนี้เราทำงานแล้วรับสอนพิเศษเด็กๆๆไปด้วยทำให้อยากจะเป็นคุณครูขึ้นมา
เพราะสิ่งมี่เราสอนไปนั้นมันเกิดผลทำให้เด็กคนนั้นสอบได้ที่คะแนนดีมาก...เรารู้ข่าวแล้วมันทำให้เรารู้สึกดี
สิ่งที่เราได้สอนไปมันได้ผล........แต่ต่อไปคงหมดดอกาศที่จะเป็นคุณครูอย่างที่คิดไว้แล้ว(ขอระบายหน่อยนะค่ะเสียใจมากๆๆๆค่ะ)
ผมก็มีความรู้สึกเหมือนกัน กับคน panatda
นศ.ป.บัณฑิตมร.สวนสุนันทา ร้องสื่อเรียนจบไม่ได้ใบวิชาชีพ สอบบรรจุครูไม่ได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า "มติชน" ได้รับการร้องเรียนจากนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู (ป.บัณฑิต) มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา (มร.สส.) ระบุว่า ตนและเพื่อนได้เข้าเรียนหลักสูตร ป.บัณฑิต แต่เมื่อเรียนจบหลักสูตรแล้วไปสอบบรรจุเข้ารับราชการครู กลับไม่มีสิทธิบรรจุ เพราะคุรุสภาไม่รับรองหลักสูตรที่ มร.สส.เปิดสอน และไม่มีผู้รับผิดชอบ ทำให้ตนและเพื่อนได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นไปในลักษณะการหลอกลวงประชาชน เมื่อสอบถาม มร.สส.ก็ไม่มีคำตอบ
นายองค์กร อมรสิรินันท์ เลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า คุรุสภารับรองหลักสูตร ป.บัณฑิตของ มร.สส.แต่การจัดการเรียนการสอนของ มร.สส.ซึ่งดูจากทรานสคริปต์ ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่คุรุสภากำหนด ซึ่งคุรุสภาไม่อาจอะลุ้มอล่วยได้ จึงไม่อาจอนุมัติใบอนุญาตประกอบวิชาชีพให้นักศึกษาที่จบหลักสูตร ป.บัณฑิตกลุ่มนี้ กรณีนี้ มร.สส.ต้องรับผิดชอบ โดยจัดสอนเติมเต็มให้ แล้วค่อยมาขอใบอนุญาตวิชาชีพครูใหม่
นายโชติช่วง พันธุเวช อธิการบดี มร.สส.กล่าวว่า มร.สส.ไม่ได้หลอกลวงเด็ก ก่อนเรียนได้แจ้งว่าจะได้ใบอนุญาตปฏิบัติการสอน แต่ไม่ได้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู เพราะนักศึกษาไม่ได้เป็นครู แต่เป็นหน่วยสนับสนุนการสอน ต้องฝึกการสอน 1 ปี เมื่อเร็วๆ นี้ ได้คุยกับนักศึกษา และผู้ปกครองว่าถ้าต้องการใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู มร.สส.จะจัดตารางเรียนเพิ่มเติมให้
ที่มา - มติชนออนไลน์
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1283239335&catid=04
นายองค์กร อมรสิรินันท์ เลขาธิการคุรุสภา กล่าวว่า คุรุสภารับรองหลักสูตร ป.บัณฑิตของ มร.สส.แต่การจัดการเรียนการสอนของ มร.สส.ซึ่งดูจากทรานสคริปต์ ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่คุรุสภากำหนด ซึ่งคุรุสภาไม่อาจอะลุ้มอล่วยได้ จึงไม่อาจอนุมัติใบอนุญาตประกอบวิชาชีพให้นักศึกษาที่จบหลักสูตร ป.บัณฑิตกลุ่มนี้ กรณีนี้ มร.สส.ต้องรับผิดชอบ โดยจัดสอนเติมเต็มให้ แล้วค่อยมาขอใบอนุญาตวิชาชีพครูใหม่
นายโชติช่วง พันธุเวช อธิการบดี มร.สส.กล่าวว่า มร.สส.ไม่ได้หลอกลวงเด็ก ก่อนเรียนได้แจ้งว่าจะได้ใบอนุญาตปฏิบัติการสอน แต่ไม่ได้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู เพราะนักศึกษาไม่ได้เป็นครู แต่เป็นหน่วยสนับสนุนการสอน ต้องฝึกการสอน 1 ปี เมื่อเร็วๆ นี้ ได้คุยกับนักศึกษา และผู้ปกครองว่าถ้าต้องการใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู มร.สส.จะจัดตารางเรียนเพิ่มเติมให้
ที่มา - มติชนออนไลน์
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1283239335&catid=04
วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553
เทคนิค Premiere Pro การสร้างข้อความ Karaoke
เทคนิค Premiere Pro การสร้างข้อความ Karaoke
1. ให้ท่านทำการเปิดไฟล์ จากนั้นคลิก Play เพื่อฟังทำนอง
2. คลิกที่ New Item จากนั้นตั้งชื่อไตเติ้ล แล้วคลิกที่ OK
3. คลิก Type Tool จากนั้นสร้างข้อความ แล้วทำการปรับแต่งอักษรตามความต้องการ
4. ทำการคัดลอก Title 01 โดยการคลิกเม้าส์ขวาเลือก copy แล้วคลิกเม้าส์ขวาเลือก Past จากนั้นดับเบิ้ลคลิกที่ Title 01 ที่คัดลอกมาใหม่
5. ให้ท่านทำการปรับแต่งค่าสีของอักษรตามความต้องการ โดยในที่นี้ใช้สีน้ำเงิน
6. คลิกลาก Title 01 (อักษรสีขาว) มาวางที่ Timeline Video 2
7. คลิกลาก Title 01 (อักษรสีน้ำเงิน) มาวางที่ Timeline Video 3
8. คลิกที่ Play เพื่อหาจุดสิ้นสุดของเสียงคำว่า " ไผ่ " แล้วปรับ Title 01 ให้พอดีกับประโยคที่สิ้นสุด
9. แทบ Effects คลิกเลือก Transition > Linear Wipe จากนั้นคลิกมาวางที่ Title 01 (อักษรสีน้ำเงิน) แล้วปรับแต่งดังตัวอย่าง
10. คลิกที่ Play แล้วจึง Stop ในส่วนท้ายของเสียงคำว่า " ขอ " จากนั้นคลิก Time แล้วลด % ให้พอดี คำว่า " ขอ "
11. คลิกที่ Play แล้วจึง Stop ในส่วนท้ายของเสียงคำว่า " ดั่ง " จากนั้นคลิก Time แล้วลด % ให้พอดี คำว่า " ดั่ง "
12. คลิกที่ Play แล้วจึง Stop ในส่วนท้ายของเสียงคำว่า " ไผ่ " จากนั้นคลิก Time แล้วลด % ให้พอดี คำว่า " ไผ่ "
13. คลิกที่ Play เพื่อทบทวนส่วนที่ต้องการแก้ไข
14. ทำเนื้องเพลงส่วนอื่นๆ โดยใช้การทำในลักษณะเดิม จะเห็นผลลัพธ์ของการใช้งาน
1. ให้ท่านทำการเปิดไฟล์ จากนั้นคลิก Play เพื่อฟังทำนอง
2. คลิกที่ New Item จากนั้นตั้งชื่อไตเติ้ล แล้วคลิกที่ OK
3. คลิก Type Tool จากนั้นสร้างข้อความ แล้วทำการปรับแต่งอักษรตามความต้องการ
4. ทำการคัดลอก Title 01 โดยการคลิกเม้าส์ขวาเลือก copy แล้วคลิกเม้าส์ขวาเลือก Past จากนั้นดับเบิ้ลคลิกที่ Title 01 ที่คัดลอกมาใหม่
5. ให้ท่านทำการปรับแต่งค่าสีของอักษรตามความต้องการ โดยในที่นี้ใช้สีน้ำเงิน
6. คลิกลาก Title 01 (อักษรสีขาว) มาวางที่ Timeline Video 2
7. คลิกลาก Title 01 (อักษรสีน้ำเงิน) มาวางที่ Timeline Video 3
8. คลิกที่ Play เพื่อหาจุดสิ้นสุดของเสียงคำว่า " ไผ่ " แล้วปรับ Title 01 ให้พอดีกับประโยคที่สิ้นสุด
9. แทบ Effects คลิกเลือก Transition > Linear Wipe จากนั้นคลิกมาวางที่ Title 01 (อักษรสีน้ำเงิน) แล้วปรับแต่งดังตัวอย่าง
10. คลิกที่ Play แล้วจึง Stop ในส่วนท้ายของเสียงคำว่า " ขอ " จากนั้นคลิก Time แล้วลด % ให้พอดี คำว่า " ขอ "
11. คลิกที่ Play แล้วจึง Stop ในส่วนท้ายของเสียงคำว่า " ดั่ง " จากนั้นคลิก Time แล้วลด % ให้พอดี คำว่า " ดั่ง "
12. คลิกที่ Play แล้วจึง Stop ในส่วนท้ายของเสียงคำว่า " ไผ่ " จากนั้นคลิก Time แล้วลด % ให้พอดี คำว่า " ไผ่ "
13. คลิกที่ Play เพื่อทบทวนส่วนที่ต้องการแก้ไข
14. ทำเนื้องเพลงส่วนอื่นๆ โดยใช้การทำในลักษณะเดิม จะเห็นผลลัพธ์ของการใช้งาน
เทคนิค Premiere Pro การสร้างตัวนับถอยหลัง
เทคนิค Premiere Pro การสร้างตัวนับถอยหลัง
1. ให้ท่านทำการเปิดโปรแกรม
2. คลิกที่ New Item > Universal Count... จากนั้นทำการปรับแต่ง แล้วคลิกที่ OK
3. คลิกลากไฟล์ Universal Count... มายัง Timeline จากนั้นคลิก Play จะเห็นผลลัพธ์ของการใช้งาน
1. ให้ท่านทำการเปิดโปรแกรม
2. คลิกที่ New Item > Universal Count... จากนั้นทำการปรับแต่ง แล้วคลิกที่ OK
3. คลิกลากไฟล์ Universal Count... มายัง Timeline จากนั้นคลิก Play จะเห็นผลลัพธ์ของการใช้งาน
เทคนิค Premiere Pro การสร้างไตเติ้ลข้อความ
เทคนิค Premiere Pro การสร้างไตเติ้ลข้อความ
1. ให้ท่านทำการเปิดโปรแกรม
2. คลิกที่ New Item > Title... จากนั้นทำการตั้งชื่อ แล้วคลิกที่ OK
3. คลิกที่ Type Tool จากนั้นทำการสร้างข้อความตามที่ต้องการ
4. ทำการปรับแต่งตัวอักษรเพิ่มเติม โดยสามารถปรับแต่งได้ในกรอบสีแดง
5. คลิกที่ Roll/Crawl Option จากนั้นเลือกรูปแบบ Title โดยในที่นี้เลือก Roll แล้วคลิกที่ OK
6. คลิกลาก Title 01 มาที่ Timeline จากนั้นคลิกที่ Play จะเห็นผลลัพธ์ของการใช้งาน
1. ให้ท่านทำการเปิดโปรแกรม
2. คลิกที่ New Item > Title... จากนั้นทำการตั้งชื่อ แล้วคลิกที่ OK
3. คลิกที่ Type Tool จากนั้นทำการสร้างข้อความตามที่ต้องการ
4. ทำการปรับแต่งตัวอักษรเพิ่มเติม โดยสามารถปรับแต่งได้ในกรอบสีแดง
5. คลิกที่ Roll/Crawl Option จากนั้นเลือกรูปแบบ Title โดยในที่นี้เลือก Roll แล้วคลิกที่ OK
6. คลิกลาก Title 01 มาที่ Timeline จากนั้นคลิกที่ Play จะเห็นผลลัพธ์ของการใช้งาน
วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553
Super Windows PE
Windows PE - แผ่นบู๊ตที่ดี ที่สุด [ช่างซ่อมคอมห้ามพลาด]
โปรแกรม Super Windows PE ครับ
เป็น Windows ที่อยู่ใน รูปแบบ CD ครับ ผมได้มาจากเพื่อนครับ ทดลองใช้แล้วรู้สึกประทับใจดีครับ เวลาที่ Computer มีปัญหา บางครั้งท่านต้องถอด Hdd ไปต่อพ่วงกับเครื่องอื่น เพื่อที่จะ Copy งาน บางท่านอาจไม่สะดวก เพียงแค่ท่านใช้ CD แผ่นนี้ Boot เครื่องท่านก็สามารถจัดการกับงานต่างๆได้ หน้าตาก็คล้าย Windows Xp จะเป็นการทำงานในแผ่น CD ครับไม่รู้เขาทำกันได้ไง
แถมยังรวมโปรแกรมที่สำคัญๆและจำเป็นด้วยเช่น โปรแกรมแบ่งพาทติชั่น โปรแกรมโกส แผ่นบูทเข้าวินโดวต่างๆ และโปรแกรมสแกนไวรัส
คลาย File ด้วย WinRAR ก่อนนะครับ จะมีขนาด ประมาณ 813 mbs จากนั้น write ใส่ cd ได้เลย ไม่ต้องกลัวว่าจะเกินแผ่น ผมลองแล้ว ใช้ cd-r 700mbs ปกติครับ
------------------------------------------------------------
bootจากแผ่นนี้
แล้วrun windowsจากในแผ่นนี้แทนครับ
ไม่ต้องไปยุ่งกับwindowsที่อยู่ในharddisk
เข้าไป แล้วก็จัดการกับงานในharddiskได้ ไม่ว่าจะย้าย
หรือตรวจดูharddisk... ฯลฯ
เสร็จแล้วจะclone windowsใส่ไปเลยหรือจะformat ลงใหม่ก็ตามสะดวก ฯลฯ >>ดูในหน้าแผ่นครับ (รูปหน้าแผ่นนี้ อยู่ในแผ่น)
คือใช้แก้ปัญหากรณีที่ไม่สามารถbootเข้าได้ปกติอ่ะครับ
หรือเอาแผ ่นไปใส่เครื่องอื่นๆ ก็ได้ แล้วrun ใช้windowsได้เลย (ส่วนตัว+ต่างหาก)
SUPER_WINPE_UBCD_2004_STD.part01.rar (85.83 MB)
SUPER_WINPE_UBCD_2004_STD.part02.rar (85.83 MB)
SUPER_WINPE_UBCD_2004_STD.part03.rar (85.83 MB)
SUPER_WINPE_UBCD_2004_STD.part05.rar (27.80 MB)
SUPER_WINPE_UBCD_2004_STD.part04.rar (85.83 MB)
ไม่ใช่ OS ที่ติดตั้ง นะ
แต่มันเป็นแผ่น BOOTCD จะเข้าไปจัดการไฟล์ต่างๆ ใน Harddisk โดยที่เราไม่จำเป็นต้องลง OS
โปรดอย่าเข้าใจผิด คิดว่าเป็น OS
thank : tatoto
โปรแกรม Super Windows PE ครับ
เป็น Windows ที่อยู่ใน รูปแบบ CD ครับ ผมได้มาจากเพื่อนครับ ทดลองใช้แล้วรู้สึกประทับใจดีครับ เวลาที่ Computer มีปัญหา บางครั้งท่านต้องถอด Hdd ไปต่อพ่วงกับเครื่องอื่น เพื่อที่จะ Copy งาน บางท่านอาจไม่สะดวก เพียงแค่ท่านใช้ CD แผ่นนี้ Boot เครื่องท่านก็สามารถจัดการกับงานต่างๆได้ หน้าตาก็คล้าย Windows Xp จะเป็นการทำงานในแผ่น CD ครับไม่รู้เขาทำกันได้ไง
แถมยังรวมโปรแกรมที่สำคัญๆและจำเป็นด้วยเช่น โปรแกรมแบ่งพาทติชั่น โปรแกรมโกส แผ่นบูทเข้าวินโดวต่างๆ และโปรแกรมสแกนไวรัส
คลาย File ด้วย WinRAR ก่อนนะครับ จะมีขนาด ประมาณ 813 mbs จากนั้น write ใส่ cd ได้เลย ไม่ต้องกลัวว่าจะเกินแผ่น ผมลองแล้ว ใช้ cd-r 700mbs ปกติครับ
------------------------------------------------------------
bootจากแผ่นนี้
แล้วrun windowsจากในแผ่นนี้แทนครับ
ไม่ต้องไปยุ่งกับwindowsที่อยู่ในharddisk
เข้าไป แล้วก็จัดการกับงานในharddiskได้ ไม่ว่าจะย้าย
หรือตรวจดูharddisk... ฯลฯ
เสร็จแล้วจะclone windowsใส่ไปเลยหรือจะformat ลงใหม่ก็ตามสะดวก ฯลฯ >>ดูในหน้าแผ่นครับ (รูปหน้าแผ่นนี้ อยู่ในแผ่น)
คือใช้แก้ปัญหากรณีที่ไม่สามารถbootเข้าได้ปกติอ่ะครับ
หรือเอาแผ ่นไปใส่เครื่องอื่นๆ ก็ได้ แล้วrun ใช้windowsได้เลย (ส่วนตัว+ต่างหาก)
SUPER_WINPE_UBCD_2004_STD.part01.rar (85.83 MB)
SUPER_WINPE_UBCD_2004_STD.part02.rar (85.83 MB)
SUPER_WINPE_UBCD_2004_STD.part03.rar (85.83 MB)
SUPER_WINPE_UBCD_2004_STD.part05.rar (27.80 MB)
SUPER_WINPE_UBCD_2004_STD.part04.rar (85.83 MB)
ไม่ใช่ OS ที่ติดตั้ง นะ
แต่มันเป็นแผ่น BOOTCD จะเข้าไปจัดการไฟล์ต่างๆ ใน Harddisk โดยที่เราไม่จำเป็นต้องลง OS
โปรดอย่าเข้าใจผิด คิดว่าเป็น OS
thank : tatoto
windows pe คืออะไร
windows Preinstallation Environment
เป็นวินโด้แบบไม่ต้องทำการติดตั้งบนฮาดดิสของเครื่องคับ เขียนลงแผ่นแล้วสามารถใช้งานจากแผ่นได้เลย โดยใส่แผ่นเข้าไป ตอนเปิดเครื่องเข้าไบออส ปรับให้เครื่องบูตจากไดฟ์ซีดี แทนบูตฮาดดิส ก็ใช้ได้หน้าตาเหมือน XP ปกติ
จะได้ใช้ก็ต่อเมื่อ เครื่องใหม่ไม่มีวินโด้ ก็สามารถบูตจากแผ่นเพื่อทดลองเครื่อง อาจมีโปรแกรมบางตัวติดมาให้ด้วยสำหรับใช้งานคับ
หรือกรณีที่วินโด้ในเครื่องเสียหาย ไม่สามารถบูตเข้าได้แล้วจำเป็นต้องฟอแมต แต่มีงานอยู่ ก็ใช้แผ่นวินPE เข้าไปย้ายงานก่อนได้คับ
และมีทูลอื่นๆที่ใช้จัดการเกี่ยวกับฮาดดิส และวินโด้ได้คับ เยอะแยะมากมาย แล้วแต่แผ่นว่าคนทำยัดอะไรมาให้ใช้มั่ง
Windows Preinstallation Environment (Windows PE) เป็นวินโดวส์แบบไม่ต้องทำการติดตั้งบนฮาร์ดดิสก์ของเครื่อง เขียนลงแผ่นแล้วสามารถใช้งานจากแผ่นได้เลย โดยใส่แผ่นเข้าไปตอนเปิดเครื่อง เข้าไบออส ปรับให้เครื่องบูตจากไดฟ์ซีดี ก็สามารถใช้งานได้ หน้าตาเหมือนวินโดวส์ XP ปกติ มีโปรแกรมบางตัวติดมาให้ด้วยสำหรับใช้งาน หรือกรณีที่วินโดวส์ในเครื่องเสียหาย ไม่สามารถบู๊ทเข้าได้แล้วจำเป็นต้องฟอแมท แต่มีงานอยู่ ก็ใช้แผ่นวินPE เข้าไปย้ายงานก่อนได้ และมีเครื่องมืออื่นๆที่ใช้จัดการเกี่ยวกับฮาร์ดดิสก์มากมาย แผ่นนี้มีประโยชน์มากไม่ว่ากรณีใดก็ตามที่คุณเข้า windows ตัวโปรดของคุณไม่ได้ (แผ่นที่ช่างซ่อมคอมต้องมี)
ดาวห์โหลดไดที่นี่
Emergency.Boot.CD.DVD.ROM.v6.0.1.Final.Release.part1.rar
Emergency.Boot.CD.DVD.ROM.v6.0.1.Final.Release.part2.rar
Emergency.Boot.CD.DVD.ROM.v6.0.1.Final.Release.part3.rar
Emergency.Boot.CD.DVD.ROM.v6.0.1.Final.Release.part4.rar
Emergency.Boot.CD.DVD.ROM.v6.0.1.Final.Release.part5.rar
เป็นวินโด้แบบไม่ต้องทำการติดตั้งบนฮาดดิสของเครื่องคับ เขียนลงแผ่นแล้วสามารถใช้งานจากแผ่นได้เลย โดยใส่แผ่นเข้าไป ตอนเปิดเครื่องเข้าไบออส ปรับให้เครื่องบูตจากไดฟ์ซีดี แทนบูตฮาดดิส ก็ใช้ได้หน้าตาเหมือน XP ปกติ
จะได้ใช้ก็ต่อเมื่อ เครื่องใหม่ไม่มีวินโด้ ก็สามารถบูตจากแผ่นเพื่อทดลองเครื่อง อาจมีโปรแกรมบางตัวติดมาให้ด้วยสำหรับใช้งานคับ
หรือกรณีที่วินโด้ในเครื่องเสียหาย ไม่สามารถบูตเข้าได้แล้วจำเป็นต้องฟอแมต แต่มีงานอยู่ ก็ใช้แผ่นวินPE เข้าไปย้ายงานก่อนได้คับ
และมีทูลอื่นๆที่ใช้จัดการเกี่ยวกับฮาดดิส และวินโด้ได้คับ เยอะแยะมากมาย แล้วแต่แผ่นว่าคนทำยัดอะไรมาให้ใช้มั่ง
Windows Preinstallation Environment (Windows PE) เป็นวินโดวส์แบบไม่ต้องทำการติดตั้งบนฮาร์ดดิสก์ของเครื่อง เขียนลงแผ่นแล้วสามารถใช้งานจากแผ่นได้เลย โดยใส่แผ่นเข้าไปตอนเปิดเครื่อง เข้าไบออส ปรับให้เครื่องบูตจากไดฟ์ซีดี ก็สามารถใช้งานได้ หน้าตาเหมือนวินโดวส์ XP ปกติ มีโปรแกรมบางตัวติดมาให้ด้วยสำหรับใช้งาน หรือกรณีที่วินโดวส์ในเครื่องเสียหาย ไม่สามารถบู๊ทเข้าได้แล้วจำเป็นต้องฟอแมท แต่มีงานอยู่ ก็ใช้แผ่นวินPE เข้าไปย้ายงานก่อนได้ และมีเครื่องมืออื่นๆที่ใช้จัดการเกี่ยวกับฮาร์ดดิสก์มากมาย แผ่นนี้มีประโยชน์มากไม่ว่ากรณีใดก็ตามที่คุณเข้า windows ตัวโปรดของคุณไม่ได้ (แผ่นที่ช่างซ่อมคอมต้องมี)
ดาวห์โหลดไดที่นี่
Emergency.Boot.CD.DVD.ROM.v6.0.1.Final.Release.part1.rar
Emergency.Boot.CD.DVD.ROM.v6.0.1.Final.Release.part2.rar
Emergency.Boot.CD.DVD.ROM.v6.0.1.Final.Release.part3.rar
Emergency.Boot.CD.DVD.ROM.v6.0.1.Final.Release.part4.rar
Emergency.Boot.CD.DVD.ROM.v6.0.1.Final.Release.part5.rar
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)