วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

นิราศแต่งเอง สมัยเรียนมัธยม

นิราศความฝันของเรา
                                                 นิราศร่ำรำพึงคะนึงหา

อีกไม่นานก็จะใกล้ถึงเวลา                 ต้องออกหาความฝันที่ตั้งใจ
ที่จะไปในครั้งนี้ถึงลำบาก                  แม้จะต้องจำจากไปที่ไหน
จะต้องออกเดินทางไปที่ใด                ใกล้หรือไกลต้องตามหามันให้เจอ
การเดินทางออกไปสู่โลกใหม่            ในหัวใจคำนึงถึงเสมอ
จะคิดถึงพวกแกและพวกเธอ             อาจได้เจอบางเวลาที่เห็นกัน
ความสัมพันธ์ของเรายังไม่ห่าง           ถึงอ้างว้างบางที่ไม่สุขสันต์
ก็พวกเราคิดถึงกันทุกวัน                   เป็นเพื่อนกันจะลืมกันได้ยังไง
เพราะความฝันแต่ละคนนั้นแตกต่าง    จำต้องห่างจากกันหาฝันใฝ่
ไม่ว่าฝันที่หานั้นอยู่ที่ใด                    ก็จะไปตามหามันให้เจอ
คิดเสมอเราต้องไปให้ถึงมัน               ต้องบากบั่นค้นหาฝันที่เพ้อ
เพราะความฝันที่หานั้นยังไม่เจอ         สู้เสมอถึงลำบากก็ต้องทน
บางคนฝันไว้ว่าอยากเป็นหมอ            อยากจะเรียนที่ ม.ข.บ้างซักหน
ถึงลำบากตรากตรำก็ต้องทน             เพราะมีคนอยากเข้ากันมากมาย
ฝันสลายเพราะว่าสอบไม่ติด             ตกคณิตหมดสิทธิถึงเป้าหมาย
อ่านหนังสือทุกวิชามาแทบตาย          ฝันสลายเพราะคณิตไม่เข้าใจ
บางคนฝันอยากไปเป็นเภสัช             ก็ต้องอัดความรู้เพิ่มใหม่ใหม่
ถึงความฝันครั้งนี้มันอยู่ไกล               ก็จะไปให้ถึงตามต้องการ
ความทยานครั้งนี้บอกให้สู้                เอาความรู้สู้เข้าไปมันต้องผ่าน
ถึงครั้งจะนี้ต้องใช้วิชามาร                เพราะต้องการเข้าไปให้ถึงมัน
บางคนฝันอยากเป็นพยาบาล            เพราะต้องการดูแลคนป่วยกัน
จะได้หายจากโรคอย่างฉลับพลัน        ให้หายกันได้หายเร็วกันเร็วไว
ในหัวใจมันบอกให้ต้องสู้                   เอาความรู้ที่มีให้ออกไป
ความฝันมันคงอยู่ไม่ไกล                  จะได้ไปเป็นซักที่พยาบาล
บางคนฝันอยากเป็นโปรแกรมเมอร์     อยากจะเจอเทคโนการสื่อสาร
จะเรียนรู้เกี่ยวกับวิชาชาญ                จะชำนาญรู้เฟื่องในเรื่องคอม
ทุกวันนี้เทคโนมันล้ำหน้า                  เราต้องกล้าใช้ความรู้อย่าถนอม
ต้องเรียนรู้ให้ได้ทุกเรื่องคอม    จงอย่ายอมสู้ๆมันเข้าไป
บางคนฝันไว้ว่าอยากเป็นครู              จะนำหาความรู้มาให้ได้
เพื่อจะสร้างความอันยิ่งใหญ่             เพราะหัวใจมันฝันอยากเป็นครู
เพราะว่าครูคือผู้ที่ยิ่งใหญ่                 ต้องขวักไขว่ใฝ่หาให้ความรู้
ทุกวันนี้อยู่ได้เพราะมีครู                  เราต้องสู้เพื่อความฝันจงมั่นใจ
ทุกๆคนอาจฝันไม่เหมือนกัน              เพราะความฝันบางคนก็ยิ่งใหญ่
อยากจะให้ทุกคนสู้เข้าไป                 อย่าท้อใจจงสู้อย่าแพ้มัน
ทุกความฝันอาจมีอุปสรรค                ให้ตั้งหลักต่อสู้สู่ความฝัน
มีกำแพงขวางกั้นทำลายมัน              เพื่อความฝันเราสู้ไดอย่าท้อใจ
ทุกชีวิตล้วนมีแต่ความฝัน                 จะสร้างมันขึ้นมาให้ยิ่งใหญ่
ฝันแล้วสู้สู้มันอย่าท้อใจ                    และจะไปให้ถึงมันซักที
อยากขอให้ทุกคนฝันแล้วสู้                เอาความรู้เข้าเผชิญเพื่อศักดิ์ศรี
อยู่ที่ไหนความฝันมันก็มี                   แต่อยู่ตัวเราจะสู้มัน
                                               
แต่งโดย นายพรสวัสดิ์ บัวใหญ่รักษา  ม.6/1

วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เทคโนโลยีวิทยุโทรทัศน์

เทคโนโลยีวิทยุโทรทัศน์
4.1 พัฒนาการของวิทยุโทรทัศน์
กว่าที่วิทยุโทรทัศน์จะกลายเป็นสื่อมวลชนที่มีบทบาทสูงในสังคมแห่งการสื่อสารของโลกปัจจุบัน ต้องอาศัยการพัฒนาที่ยาวนานพอสมควร นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่ได้อุทิศตัวให้แก่งานนี้ การทดลอง การทดลองเกี่ยวกับวิทยุโทรทัศน์มีมาราวศตวรรษที่ 18 เริ่มส่งสัญญาณโทรคมนาคมทางอากาศด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Wave) และการทดลองนี้เริ่มมีท่าทีปรากฏเป็นจริงเป็นจัง เมื่อ แอนดรู เมย์ (Andrew May) เจ้าหน้าที่โทรเลขชาวไอริช ได้ค้นพบสารเซเลเนียม (Selenium) ในพุทธศักราช 2416 สารนี้มีคุณสมบัติแปลงพลังงานเป็นกระแสไฟฟ้าได้ ในปี พุทธศักราช 2437 พอล ก็อตต์ลีบ นิปโคว (Paul Gottlied Nipkow) นักวิทยาศาสตร์ ชาวเยอรมัน พัฒนาเครื่องมือ กวาดภาพ (Scanning Device) ทำให้ส่งภาพระยะใกล้ๆ ระบบกวาดภาพของเขาเป็นระบบกลไก (Machanics) ไม่ได้เป็นระบบ อิเล็กทรอนิกส์อย่างในปัจจุบัน เขาใช้จานที่เจาะรูเป็นเล็กๆ เพื่อรับพลังงานแสง เมื่อจานหมุนแสงจะผ่านรูดังกล่าวทำให้ภาพที่ผ่านรูไปปรากฏจออย่างต่อเนื่อง ในปีพุทธศักราช 2456 ฟิโล ที ฟาร์นสเวอร์ (Philo T. Faensworth) พัฒนาเครื่องมือกวาด ภาพอิเล็กทรอนิกส์(Electronic Scanning System) อีกสี่ปีต่อมา จอห์น โลกี แบร์ด (John Logie Baird) วิศวกรชาวสก๊อต ประดิษฐ์ระบบโทรทัศน์รังสีอินฟาเรด (Infrared Ray) เพื่อถ่ายภาพในที่มืด และในปี พุทธศักราช 2466 วลาดิเมีย เค ซวอริคิน (Vladimir K. Zworykin) ชาวอเมริกันเชื้อสาย รัสเซียประดิษฐ์หลอดไอ โคโนสโคป (Iconoscope) ใช้เป็นหลอดภาพชนิดแรก ของกล้องโทรทัศน์ และหลอดคิเนสโคป (Kinescope) ใช้เป็นหลอดภาพรับ เครื่องโทรทัศน์
การส่งวิทยุโทรทัศน์ได้อย่างสมบูรณ์เป็นครั้งแรกของโลกในปี พุทธศักราช 2469 ส่งเสียงและภาพ ไปยัง เครื่องรับ พร้อมกัน ที่สหรัฐอเมริกา และในปีเดียวกันนั้น ยังสามารถรับในระบบวิทยุไกลถึง 30 ไมล์ และสามารถส่งเป็นสัญญาณโทรทัศน์ไปตามสายเคเบิล จากนิวยอร์กถึงวอชิงตันระยะทาง 280 ไมล์ และในปีเดียวกันนั้น ที่อังกฤษ ก็ ส่งภาพจากลอนดอนไปยังกลาสโกว์ ระยะทาง 340 ไมล์
ใน ปี พุทธศักราช 2479 ได้จัดตั้ง สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งแรกของโลก คือ บีบีซี (BBC : British Broadcasting Corporation ) แห่งประเทศอังกฤษ และต่อมามีการ จัดตั้ง ซีบีเอส (CBS : Columbia Broadcasting System) และ เอ็นบีซี (NBC : Nation Broadcasting Corporation)
ควบคู่กับการพัฒนาระบบวิทยุโทรทัศน์ขาว-ดำ ในปีพุทธศักราช 2471 ได้มีการค้นคว้าการส่งในระบบสี โดย เจม แอล เบียร์ด ในการใช้แว่น กรองสี (Color Filter) ในปีพุทธศักราช 2496 พัฒนาระบบโทรทัศน์สีเป็นครั้งแรก ส่งสัญญาณในระบบ 525 เส้น เรียกว่าระบบ NTSC (National Television System Committee) ที่ สหรัฐอเมริกา ต่อมาที่เยอรมันก็พัฒนาเป็น 625 เส้น ระบบ PAL (Phase Alternating by Line) และฝรั่งเศส ก็พัฒนา 819 เส้น ระบบ SECAM ( Sequentiel couleur a
memoire)
ในปีพุทธศักราช 2495 ได้กำหนดความถี่สัญญาณวิทยุโทรทัศน์ออกเป็น 2 ระบบ โดยคณะกรรมการว่าด้วยการสื่อสารแห่งอเมริกา (National Television System Committee : NTSC) คือ
- VHF (Very High Frequency) เป็นระบบที่มีความถี่ในการออกอากาศ ระหว่าง 30 – 300 เมกะเฮิรตซ์ มี 13 ช่อง คือ 1 – 13
- UHF (Ultra high frequency) เป็นระบบที่มีย่านความถี่ในการออกอากาศ ระหว่าง 300 – 3,000 เมกะเฮิรตซ์ มี 70 ช่อง คือ 14 – 83
4.2 โทรทัศน์วงจรปิด
การส่งวิทยุโทรทัศน์นั้นสามารถทำได้หลากหลายวิธีทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพของสถานีส่งหรือสภาพแวดล้อมของเครื่องรับ เช่นถ้ากลุ่มผู้รับเป็นแหล่งชุนขนาดเล็ก หรือใช้เฉพาะกิจภายในชุมชน บริเวณโรงงาน สถานศึกษา หรือระหว่างอาคารตลอดจนภายในอาคารถ้าลักษณะนี้นั้นไม่ต้องใช้เครื่องส่งออกอากาศเพราะมีราคาสูง เราสามารถใช้ส่งระบบสาย ซึ่งเรียกว่า โทรทัศน์วงจรปิด ซึ่งก็มีหลายระบบหลายวิธีด้วยกัน ดังนี้
4.2.1 โทรทัศน์วงจรปิด (Closed – Ciscuit Television : CCTV) คือระบบการบันทึกภาพเคลื่อนไหวที่ถูกจับภาพโดยกล้องวงจรปิด (CCTV Camera) ซึ่งเป็นระบบสำหรับการใช้เพื่อการรักษาความปลอดภัย หรือใช้เพื่อการสอดส่องดูแลเหตุการณ์หรือสถานะการณ์ต่างๆ ที่นอกเหนือจากการรักษาความปลอดภัย โทรทัศน์วงจรปิดในภายหลังได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นใน ธนาคาร, สถานที่ราชการ,ที่สาธารณะ หรือแม้กระทั่งบริษัทห้างร้านต่างๆ
4.2.2 วิทยุโทรทัศน์ทางสายเคเบิล (Cable Televison : CATV) เคเบิ้ลทีวีมีการให้ระบบการทำงานของ โทรทัศน์ ให้แก่ผู้บริโภคผ่านทาง คลื่นความถี่ สัญญาณที่ส่งไปยังโทรทัศน์ผ่านคง เส้นใยแสง หรือ สายคู่ ตั้งอยู่บนคุณสมบัติผู้ใช้บริการของคล้าย the วิธีอากาศมากกว่าที่ใช้ในการ แพร่ภาพทางโทรทัศน์แบบเดิม (ผ่านทางคลื่นวิทยุ) ใน เสาอากาศโทรทัศน์ที่จะต้อง วิทยุ FM โปรแกรม อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง , โทรศัพท์ , และบริการโทรทัศน์ที่ไม่เหมือนกันอาจจะให้ แตกต่างที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงของคลื่นความถี่ที่ใช้และการเชื่อมต่อสัญญาณแสงเพื่อคุณสมบัติผู้ใช้บริการ
4.2.3 วิทยุโทรทัศน์เสาอากาศชุมชน (Community Antenna Televison System : CATV) เป็นระบบการสื่อสารบรอดแบนด์สามารถส่งหลายช่องทางของการเขียนโปรแกรมจากหนวดตั้งศูนย์ของดาวเทียมอากาศออกและโดยทั่วไปโดยคู่สายเพื่อชุมชน ระบบ CATV จำนวนมากรวมใยแก้วนำแสงและการเชื่อมโยงไมโครเวฟใยเรียกว่าไฮบริดคะยั้นคะยอ (HFC) ยุคที่ บริษัท ขนาดเล็กอิสระในชุมชนชนบทจะสร้างโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่ได้รับเสาอากาศบนภูเขาในบริเวณใกล้เคียงที่จะรับสัญญาณโทรทัศน์อ่อนแอจากเมืองไกล สัญญาณเหล่านี้ถูกขยาย, มอดูเลตลงบนช่องทางโทรทัศน์และส่งพร้อมคู่สายหงุดหงิดจากบ้านไปที่บ้าน
4.2.4 วิทยุโทรทัศน์ตามสายแบบสองทาง (Tow – Way Cable Televison) ระบบนี้พัฒนาคุณภาพของเคเบิลทีวีได้ดียิ่งขึ้น ผู้ชมสามารถโต้ตอบกับรายการได้เป็นระบบ พัฒนาขึ้นในปีพุทธศักราช 2518 ณ เมืองเออร์วิน รัฐแคลิฟอร์เนีย และเรียกระบบนี้ว่า Irvine Interactive Video มีการติดเครื่องรองรับ (Terminal) ไว้ตามจุดต่างๆ เช่นโรงเรียน หอสมุด ศาลากลาง มหาวิทยาลัย
4.2.5 วิทยุโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม การใช้ดาวเทียมเป็นอุปกรณ์ในการถ่ายทอดสัญญาณวิทยุโทรทัศน์นั้นอาจทำได้ 3 รูปแบบใหญ่ๆ คือ
4.2.5.1 การยิงสัญญาณจากสถานีบนภาคพื้นดิน ขึ้นไปสู่ดาวเทียม
4.2.5.2 ดาวเทียมจะทวนสัญญาณกลับคืนมาสู่สถานี
4.2.5.3 สถานีจะส่งออกอากาศในระบบปกติไปยังชุมชนอีกต่อไป
ทำให้พื้นที่เป้าหมายกว้างขวางขึ้นตามปริมาณของสถานีรับสัญญาณจากดาวเทียมอย่างเช่น การเผยแพร่ได้ทั่วประเทศ ของสถานีวิทยุโทรทัศน์ช่อง 3 ช่อง 5 ช่อง 7 และช่อง 9
ในปัจจุบันระบบที่สอง คล้ายๆ กับระบบแรก โดยผ่านทางสายเคเบิล ในลักษณะของเคเบิลทีวีและล่าสุดเป็นการพัฒนาระบบวิทยุโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมโดยให้บ้านเรือนต่างๆ รับสัญญาณโดยตรงได้จากดาวเทียมโดยไม่ต้องผ่านสถานีรับสัญญาณดาวเทียมโดยตามบ้านเรือนที่ประสงค์จะรับต้องติดตั้งจานสายอากาศขนาด 1 เมตรและมีตัวแปลงสัญญาณลงให้อยู่ในย่านความถี่วิทยุโทรทัศน์ธรรมดาจะรับคลื่นได้
4.3 พัฒนาการของเทปโทรทัศน์
ความพยายามที่จะพัฒนาเครื่องบันทึกเทปโทรทัศน์ได้เริ่มราวพุทธศักราช 2483 โดยวิศวกรได้ทกรองการบันทึกด้วยหัวยันทึกแบบอยู่นิ่งกับที่ เช่นเดียวกับการบันทึกเสียง แต่ประสบปัญหาเพราะจะเก็บหรือเล่นภาพได้นั้นต้องอาศัยการเคลื่อนของเส้นเทปด้วยความเรียวสูงมากจึงต้องทำให้ใช้ม้วนเทปขนาดใหญ่มาก ในขณะที่ให้ภาพสั้นมาก
การบันทึกวิดีโอเทปเกิดขึ้นครั้งแรกในปี คศ. 1956 โดยบริษัท Ampex Corporation ซึ่งนำออกแสดงในงานประชุมของสมาคมวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ (National Association of Radio and Television Broadcasters) ณ นครชิคาโก หลังจากนั้นอีก 6 เดือน CBS ได้นำเทปโทรทัศน์มาใช้และเครือข่ายอื่นๆก็นำมาใช้เช่นเดียวกัน และบริษัท Ampex ก็ได้พัฒนาวิดีโอเทปสีขึ้นมาหากแต่ว่ายังไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร
ในปี คศ.1958 ได้มีการตัดต่อเทปโดยการตัดเส้นเทปแล้วต่อด้วยเทปกาวช่วยให้มีการ บันทึกเทปเป็นฉาก ๆ ตอน ๆ และแก้ไขส่วนที่ไม่ดีหรือ ถ่ายใหม่เลือกเอาเฉพาะที่ดี ๆ เพื่อนำออก อากาศได้ ต่อมาในปีคศ.1960บริษัทAmpexได้นำเอาวิธีการตัดต่อโดยใช้เครื่องตัดต่ออิเล็กทรอนิกส์มาใช้แทนการตัดต่อเส้นเทป การตัดต่อแบบนี้เป็น ขบวนการสำเนาภาพที่ถ่ายมาแล้วลงไปในเทปอีกม้วนหนึ่ง เฉพาะภาพที่ต้องการเท่านั้น การตัดต่อแบบนี้ทำได้รวดเร็วและแม่นยำมาช่วยให้รายการสมบูรณ์และน่าสนใจมากยิ่งขึ้นเพราะสามารถเลือกเอาเฉพาะภาพที่ ต้องการมีคุณภาพ เท่านั้น
ในปี คศ.1967 บริษัทอิเล็กทรอนิกส์เอนจิเนียในมลรัฐคาลิฟอร์เนียได้สร้างระบบรหัสเวลา (Time Code System) ขึ้นมาใช้กับเครื่องวิดีโอเทป เพื่อให้สามารถกำหนดภาพนำมาใช้ในการตัดต่อ ได้ทีละภาพอย่างแม่นยำ ตัวเลขรหัสมีทั้งหมด 8 หลัก และระบบรหัสเวลานี้ได้รับความนิยมอย่าง มากจนในปี คศ.1970 สมาคมวิศวกรรมทาง ภาพยนตร์และวิทยุโทรทัศน์
Society for Motion Picture and Television Engineers (SMPTE) ได้กำหนดระบบนี้เป็นมาตรฐานเพื่อให้บริษัท ต่างๆได้นำไปใช้เป็นแบบแผนอันเดียวกัน
ในปี คศ.1967 ได้นำเอาวิดีโอแบบจาน (Video Disc) มาใช้ซึ่งสามารถเล่นภาพช้าหรือเร็วได้ และยังหยุดภาพใดภาพหนึ่งได้ตามต้องการเรียกเครื่องนี้ว่า สโลโม (Slomo) เครือข่าย ABC ได้นำมาใช้เป็นครั้งแรกในการถ่ายทอดกีฬาประเภทสกี ในการแข่งขันสกีระดับโลกหลังจากนั้นเครื่องชนิดนี้ก็ได้รับความนิยมนำมาใช้ ตามเครือข่ายโทรทัศน์ต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นในปี คศ.1970ได้มีการพัฒนาเครื่องตัดต่อวิดีโอเทปและนำมาใช้ กับรายการ ละครเรื่อง "All in the Family"ซึ่งเป็นรายการ 30 นาที มีการตัดต่อถึง 60 แห่งโดยใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ และในปี คศ.1972มีการนำเอาระบบตัดต่อที่ค่อนข้างสมบูรณ์โดยมีคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วย เพื่อให้การตัดต่อดีและแม่นยำขึ้นรายการที่นำเอาระบบตัดต่อที่ค่อนข้างสมบูรณ์มาใช้นี้ชื่อว่า "Sandcastles"หลังจากนั้น การพัฒนาอุปกรณ์เครื่องมือที่ในอดีตเคยสร้างปัญหาความยุ่งยาก ในการเคลื่อนย้าย เนื่องจากมีน้ำหนักมากและรูปร่างใหญ่โตก็เปลี่ยนแปลงมาเป็นอุปกรณ์ที่มีน้ำหนัก เบาสะดวกสบายต่อการเคลื่อนย้ายจากอุปกรณ์กล้องที่ใช้ได้เฉพาะในสตูดิโอ มาเป็นอุปกรณ์ประเภท กระเป๋าหิ้ว (ENG)จากระบบการกวาดของเส้นเทปในแนวตั้ง (Quad) มาเป็นแนวเฉียงหรือเอียง (Helical)ซึ่งมี ขนาดของอุปกรณ์เล็กลงไปมาก จึงทำให้การทำงานสะดวกสบายรวดเร็วยิ่งขึ้น
การบันทึกวิดีโอเทปเกิดขึ้นครั้งแรกในปี คศ. 1956 โดยบริษัท Ampex Corporation ซึ่งนำออกแสดงในงานประชุมของสมาคมวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ (National Association of Radio and Television Broadcasters) ณ นครชิคาโก หลังจากนั้นอีก 6 เดือน CBS ได้นำเทปโทรทัศน์มาใช้และเครือข่ายอื่นๆก็นำมาใช้เช่นเดียวกัน และบริษัท Ampex ก็ได้พัฒนาวิดีโอเทปสีขึ้นมาหากแต่ว่ายังไม่สมบูรณ์เท่าที่ควร
ในปี คศ.1958 ได้มีการตัดต่อเทปโดยการตัดเส้นเทปแล้วต่อด้วยเทปกาวช่วยให้มีการ บันทึกเทปเป็นฉาก ๆ ตอน ๆ และแก้ไขส่วนที่ไม่ดีหรือ ถ่ายใหม่เลือกเอาเฉพาะที่ดี ๆ เพื่อนำออก อากาศได้ ต่อมาในปีคศ.1960บริษัทAmpexได้นำเอาวิธีการตัดต่อโดยใช้เครื่องตัดต่ออิเล็กทรอนิกส์มาใช้แทนการตัดต่อเส้นเทป การตัดต่อแบบนี้เป็น ขบวนการสำเนาภาพที่ถ่ายมาแล้วลงไปในเทปอีกม้วนหนึ่ง เฉพาะภาพที่ต้องการเท่านั้น การตัดต่อแบบนี้ทำได้รวดเร็วและแม่นยำมาช่วยให้รายการสมบูรณ์และน่าสนใจมากยิ่งขึ้นเพราะสามารถเลือกเอาเฉพาะภาพที่ ต้องการมีคุณภาพ เท่านั้น
ในปี คศ.1967 บริษัทอิเล็กทรอนิกส์เอนจิเนียในมลรัฐคาลิฟอร์เนียได้สร้างระบบรหัสเวลา (Time Code System) ขึ้นมาใช้กับเครื่องวิดีโอเทป เพื่อให้สามารถกำหนดภาพนำมาใช้ในการตัดต่อ ได้ทีละภาพอย่างแม่นยำ ตัวเลขรหัสมีทั้งหมด 8 หลัก และระบบรหัสเวลานี้ได้รับความนิยมอย่าง มากจนในปี คศ.1970 สมาคมวิศวกรรมทาง ภาพยนตร์และวิทยุโทรทัศน์
Society for Motion Picture and Television Engineers (SMPTE) ได้กำหนดระบบนี้เป็นมาตรฐานเพื่อให้บริษัท ต่างๆได้นำไปใช้เป็นแบบแผนอันเดียวกัน
ในปี คศ.1967 ได้นำเอาวิดีโอแบบจาน (Video Disc) มาใช้ซึ่งสามารถเล่นภาพช้าหรือเร็วได้ และยังหยุดภาพใดภาพหนึ่งได้ตามต้องการเรียกเครื่องนี้ว่า สโลโม (Slomo) เครือข่าย ABC ได้นำมาใช้เป็นครั้งแรกในการถ่ายทอดกีฬาประเภทสกี ในการแข่งขันสกีระดับโลกหลังจากนั้นเครื่องชนิดนี้ก็ได้รับความนิยมนำมาใช้ ตามเครือข่ายโทรทัศน์ต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นในปี คศ.1970ได้มีการพัฒนาเครื่องตัดต่อวิดีโอเทปและนำมาใช้ กับรายการ ละครเรื่อง "All in the Family"ซึ่งเป็นรายการ 30 นาที มีการตัดต่อถึง 60 แห่งโดยใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ และในปี คศ.1972มีการนำเอาระบบตัดต่อที่ค่อนข้างสมบูรณ์โดยมีคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วย เพื่อให้การตัดต่อดีและแม่นยำขึ้นรายการที่นำเอาระบบตัดต่อที่ค่อนข้างสมบูรณ์มาใช้นี้ชื่อว่า "Sandcastles"หลังจากนั้น การพัฒนาอุปกรณ์เครื่องมือที่ในอดีตเคยสร้างปัญหาความยุ่งยาก ในการเคลื่อนย้าย เนื่องจากมีน้ำหนักมากและรูปร่างใหญ่โตก็เปลี่ยนแปลงมาเป็นอุปกรณ์ที่มีน้ำหนัก เบาสะดวกสบายต่อการเคลื่อนย้ายจากอุปกรณ์กล้องที่ใช้ได้เฉพาะในสตูดิโอ มาเป็นอุปกรณ์ประเภท กระเป๋าหิ้ว (ENG)จากระบบการกวาดของเส้นเทปในแนวตั้ง (Quad) มาเป็นแนวเฉียงหรือเอียง (Helical)ซึ่งมี ขนาดของอุปกรณ์เล็กลงไปมาก จึงทำให้การทำงานสะดวกสบายรวดเร็วยิ่งขึ้น
4.3.1 วิดีโอเทปชนิดกวาดภาพแบบเอียง
วิดีโอเทปชนิดกวาดภาพแบบเอียงนี้ได้เริ่มต้นพัฒนาเพื่อใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม และสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั้งนี้เพราะราคาถูกกว่าระบบ Quad หลายเท่าตัวอีกทั้งมีขนาดเล็กน้ำหนักเบาด้วยแต่มีข้อเสียที่ว่าคุณภาพด้อยกว่ามากไม่เหมาะที่จะนำไปใช้ออก อากาศและเครื่องเทปสึกหรอได้ง่ายต่อมาระบบนี้ได้พัฒนามาเรื่อย ๆ จนปัจจุบันเป็นที่ยอมรับในการนำไปใช้ในสถานีโทรทัศน์และสถานีต่าง ๆ มากสำหรับราคานั้นมีตั้งแต่ถูก ที่สุดสามารถซื้อไว้ใช้ในบ้านได้ไปจนถึงราคาเท่าเทียมกับระบบ Quad ข้อดีของระบบ นี้ก็คือสามารถเล่นภาพช้าและการหยุดภาพใดภาพหนึ่งได้ตามต้องการ การกวาดภาพ การทำงานของวิดีโอเทป
4.3.2 การทำงานของวิดีโอเทป
การทำงานของวิดีโอเทปมีลักษณะคล้ายคลึงกับการทำงานของเทปเสียงคือมี การทำให้เกิดสนามแม่เหล็กขึ้นกับอนุภาคเล็กๆ ของผงสนิมเหล็กหรือสารแม่เหล็ก ที่ฉาบบนเนื้อเทปสัญญาณภาพจะเกิดขึ้นเมื่อเส้นเทปเคลื่อนที่ผ่านหัวบันทึกซึ่งกำลัง หมุนรอบตัวสัญญาณภาพที่เกิดขึ้นจะบันทึกลงในเส้นเทปเมื่อเส้นเทปเคลื่อนที่ ผ่านหัวเล่นหัวเล่นจะอ่านสัญญาณภาพที่เหมือนกับที่ได้บันทึกลงไป และสามารถนำสัญญาณภาพนี้ไปขยายในวงจรภายในเครื่องเล่นวิดีโอเทปให้มีกำลังแรงขึ้นได้อย่างไรก็ตามถึงแม้หลักการเบื้องต้นการทำงานของวิดีโอเทปจะมีลักษณะคล้าย คลึงกับการทำงานของเทปเสียงแต่ก็มีความแตกต่างกันอยู่มากเพราะเทปเสียงที่มี คุณภาพดีนั้นสามารถผลิตความถี่ของสัญญาณอยู่ในช่วง 20-20,000 Hz ส่วนสัญญาณ ภาพสีนั้นมีความถี่อยู่ในช่วงล้านเฮริตต่อวินาที ซึ่งเป็นความถี่ที่สูงกว่าเทปเสียงมากแบบเอียง (Slant or Helical Track Scanning) ในระบบนี้หัวบันทึก ภาพอาจมีหัวเดียวสองหัว หรือมากกว่านั้น ซึ่งบรรจุอยู่ในกล่อง (Head Drum) ที่สามารถหมุนด้วยตัวเองจะทำหน้าที่บันทึกสัญญาณภาพลงบนเส้นเทปในลักษณะเอียงแตกต่างจากแบบ Quadraplex ที่บันทึกค่อนข้างจะเป็นเส้นตรงแทร็คสัญญาณเสียงของระบบนี้อยู่ขอบบนและแทร็คสัญญาณควบคุมจะอยู่ขอบล่างของเส้นเทปเนื้อเทปจะวิ่งผ่านหัวเทปจากซ้ายไปขวาและตำแหน่งของม้วนส่งกับม้วนรับจะอยู่ต่างระดับกัน
4.4 พัฒนาการของแผ่นบันทึกภาพ
การบันทึกภาพโทรทัศน์ที่ผ่านมา จะใช้วิธีการบันทึกด้วยระบบสัญญาณแม่เหล็กซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีอยู่ในขณะนั้น กานบันทึกในระบบเทปแม้เหล็กนี้ อาจชำรุดง่าย ต้องอาศัยเนื้อที่ในการเก็บค่อนข้างมาก และการจัดทำสำเนาเพิ่มขึ้นทำได้ช้ากว่า จำให้มีความคิดที่จะพัมนาระบบการเก็บภาพและเสียงที่มีคุณภาพสูงกว่า แผ่นบันทึกภาพจึงได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ภาพที่คมชัดกว่า การค้นหาภาพได้อย่างรวดเร็ว การเก็บรักษาทำได้ง่ายกว่า
4.4.1 การพัฒนาแผ่นบันทึกภาพ (Video Disc) ออกสู่ตลาดนั้น เริ่มราวพุทธศักราช 2522 โดยบริษัท Magnavox แห่งสหรัฐอเมริกา และติดตามด้วยบริษัทญี่ปุ่นอื่นๆ อาทิ Pioneer Panasonic Snayo JVC เป็นต้น ซึ่งระบบที่ผลิตออกมาใช้ตามบ้านเรือนนี้จะเป็นระบบเล่นได้อย่างเดียวเท่านั้น
4.4.2 แผ่นบันทึกภาพ แยกเป็นมาตรฐานได้ 3 ระบบ คือ
4.4.2.1 ระบบเลเซอร์วิชั่น (Laser Vision)
4.4.2.2 ระบบอาร์ซีเอซีเล็คตาวิชั่น (RCA Selectavision)
4.4.2.3 ระบบวีเอ็ชดี (VHD : Very High Vision)
4.5 วีดีโอเท็กซ์และเทเลเท็กซ์
วีดีโอเท็กซ์ ( Video ) เป็นระบบบริการข้อสนทางสาย แบบสื่อสารสองทาง (Tow – way communication) ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน จัดเป็นเทคโนโลยีที่ประยุกต์ระบบวิทยุโทรทัศน์ ระบบโทรทัศน์ และระบบคอมพิวเตอร์ เข้ามาทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
4.5.1 โครงสร้างของระบบวีดีโอเท็กซ์
4.5.1.1 ศูนย์บริการข้อมูล (Service Center)
4.5.1.2 ฐานข้อมูล (Database)
4.5.1.3 ระบบโทรศัพท์ (Telephone System)
4.5.1.4 เครื่องรับโทรทัศน์ (Adapted Television Sct)
4.5.2 ลักษณะเด่นของวีดีโอเท็กซ์
4.5.2.1 เป็นระบบสื่อสารแบบสองทางทั้งศูนย์
4.5.2.2 มีกระบวนการที่ไม่ยุ่งยาก สะดวกสบาย
4.5.2.3 ราคาถูกกว่าระบบสองทางระบบอื่น
4.5.2.4 สามารถ แสดงได้ทั้ง ข้อความ ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว
4.5.3 การให้บริการของวิดีโอเท็กซ์
4.5.3.1 การให้บริการข้อสนเทศ (Information Retrieval)
4.5.3.2 การบริการส่งข่าวสาร (Message) การส่งข่าวสารนี้มี 3 วิธี คือ
4.5.3.2.1 ระบบส่งไปเก็บไว้ที่ศูนย์
4.5.3.2.1 ระบบส่งผ่านศูนย์
4.5.3.2.1 ระบบส่งโดยตรงระหว่างผู้ใช้บริการกันเอง
4.5.3.3 การบริการคำนวณ (Computation)
4.5.3.4 การบริการซอฟแวร์ (Software Distribution)
นอกเหนือจากวีดีโอเท็กซ์ ก็ยังมีบริการในลักษณะนี้ที่ใกล้เคียงกันอีก อาทิ เทเลเท็กซ์ (Teletex) ซึ่งเป็นระบบการสื่อสารข้อสนเทศแบบทางเดียว โดยศูนย์จะส่งไปให้ผู้รับทางอากาศ การใช้บริการก็มีข้อจำกัดเพียงการเลือกเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น การโต้ตอบแบบวีดีโอเท็กซ์ไม่อาจทำได้ แต่ระบบนี้ก็มีราคาถูกกว่าระบบแรกมาก

บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
กำเนิดโทรทัศน์
กว่าจะมาเป็นโทรทัศน์สีจอกว้างจอแบน ที่มีระบบอันทันสมัยนานาประการหลายสิบหลายร้อยยี่ห้อดังเช่นทุกวันนี้นั้น หากย้อนหลังไปในปี ค.ศ. 1925 โทรทัศน์ขาว-ดำ เครื่องแรกของโลกที่ถูกสร้างขึ้นได้นั้น เป็นผลงานการประดิษฐ์ของ จอห์น ลอกกี้ เบรียด ชาวสก๊อตแลนด์ จอห์น ได้มุมานะทดลองการรับส่งสัญญาณภาพอยู่นานหลายปีจนสำเร็จ โดยสามารถส่งภาพวัตถุไปยังเครื่องรับอีกเครื่องหนึ่งที่อยู่ห่างกันได้อย่างชัดเจน
และนับจากวันนั้น โทรทัศน์ก็ครองใจคนเรื่อยมา


ประวัติวิทยุกระจายเสียง
กล่าวกันว่าต้องใช้เวลาถึง 1 ศตวรรษกว่าที่การถ่ายรูปจะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย โทรศัพท์ใช้เวลานาน 50 ปี เทคโนโลยีวิทยุสื่อสารใช้เวลา 35 ปี แต่วิทยุรูปแบบพิเศษไร้สายที่เรียกกันว่า การกระจายเสียงหรือ broadcasting นั้น ใช้เวลาเพียง 8 ปีเท่านั้น

มนุษย์เริ่มบริโภคสื่อในช่วงแรกจากสื่อสิ่งพิมพ์แบบประชานิยม เครื่องเล่นแผ่นเสียง และภาพยนตร์ เป็นเวลานาน ก่อนที่จะมีการกระจายเสียงเกิดขึ้น สื่อสมัยเก่าเกิดขึ้นมาพร้อมๆกับการประดิษฐ์คิดค้นทางช่างของศตวรรษที่ 19 และจากการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานทางสังคมที่เกิดจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม (ประมาณ ค.ศ. 1750-1850) ซึ่งผันชีวิตผู้คนในโลกตะวันตกจากสังคมเกษตรกรรม ให้เดินทางเข้ามาทำมาหากินกันในเมืองใหญ่มากขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 การกระจุกตัวของประชาชนในเมืองใหญ่กลายเป็นกลุ่มเป้าหมายของสิ่งที่เราเรียกกันว่า “สื่อมวลชน” หรือ “mass media” ซึ่งหมายถึงตัวกลางของการติดต่อสื่อสารที่ใช้เทคโนโลยีเป็นสื่อเข้าถึงประชาชนจำนวนมากในคราวเดียวกัน ด้วยข่าวสารและความบันเทิงที่ดึงดูดความสนใจของประชาชนเหล่านั้น

แต่เดิมนั้น หนังสือพิมพ์ถูกนับว่าเป็นสิ่งพิเศษสำหรับชนชั้นสูง ปัจจัยหลายๆด้าน เช่น การกระจุกตัวของชุมชนเมือง การพัฒนาการศึกษา อัตราเพิ่มของการรู้หนังสือของประชาชนและความต้องการพักผ่อนหย่อนใจ ต่างก็ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสถานภาพของสื่อสิ่งพิมพ์ มาเป็นสิ่งธรรมดาที่คนทั่วไปในระดับล่างสามารถเข้าถึงได้ สื่อสิ่งพิมพ์ที่เรียกกันว่า “The Penny Press” เป็นตัวชี้วัดในกรณีนี้ได้เป็นอย่างดี หลังจาก ค.ศ. 1833 หนังสือพิมพ์ Sun ในรัฐ New York เป็นผู้นำแนวทางใหม่ไปสู่การผลิตหนังสือพิมพ์เพื่อมวลชนด้วยการตั้งราคาขายเพียงฉบับละ 1 เพนนี โดยระยะแรกขายเพียงจำนวนหลักพันฉบับ และในที่สุดก็มียอดขายเพิ่มถึงนับแสนฉบับเลยทีเดียว หนังสือพิมพ์ในสมัยนั้นเน้นการเสนอข่าวธุรกิจการค้า พรรคการเมือง และประเด็นหนักๆ ต่อมาหนังสือพิมพ์ประชานิยมได้ขยายขอบข่ายของการเสนอเรื่องราวต่างๆ

มีการหากินกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน คดีอาชญากรรม ข่าวซุบซิบ เรื่องที่อยู่ในความสนใจของผู้คน และกีฬา ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการนำเสนอในรูปแบบภาษาที่หวือหวา ซึ่งขัดแย้งกับการใช้ภาษาสวยงามในรูปแบบเรียงความอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต หนังสือพิมพ์ประชานิยมนี้สามารถดึงดูดผู้อ่านจำนวนมากด้วยการเข้าถึงคนทุกเพศทุกวัยโดยไม่จำกัดชนชั้นและสถานภาพทางสังคม ภายในทศวรรศที่ 1890s หนังสือพิมพ์บางฉบับมียอดจำหน่ายถึงกว่าล้านฉบับทีเดียว ความนิยมของผู้คนในการอ่านหนังสือพิมพ์นั้นนับได้ว่าช่วยบ่มเพาะพฤติกรรมการบริโภคสื่อสารมวลชน ซึ่งขยายไปสู่การบริโภคสื่อมวลชนอื่นๆในเวลาต่อมา

การกระจายเสียงในยุคแรกๆสืบทอดมาจากคณะนักร้องละครเพลงเร่ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วง ค.ศ. 1880-1920 เรียกว่า “vaudeville” การแสดงของพวกเขาสามารถทำเงินได้เป็นจำนวนมากจากการออกเร่ไปพบผู้ชมนับร้อยรอบ สาเหตุแห่งความสำเร็จของ vaudeville ก็คือพวกเขานำความบันเทิงไปถึงตัวผู้ชมโดยที่ผู้ชมไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง วิธีการนี้เป็นแนวทางเดียวกับการใช้สื่อชนิดใหม่ๆที่ตามมา เช่น ภาพยนตร์ และวิทยุกระจายเสียง ที่สามารถทำเงินได้จากการนำเสนอความบันเทิงไปให้กับผู้ชมได้ถึงบ้านนั่นเอง

ในศตวรรษที่ 19 ประชาชนในประเทศตะวันตกจึงเริ่มคุ้นเคยและลงทุนซื้อหาเฟอร์นิเจอร์ประดับบ้านชิ้นใหม่ คือเครื่องเล่นแผ่นเสียง ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ผู้ผลิตเครื่องเล่นแผ่นเสียง 200 รายในประเทศสหรัฐอเมริกา มีการผลิตกันมากถึงปีละกว่า 200 เครื่องทีเดียว อย่างไรก็ตามการอัดแผ่นเสียงยังคงใช้เทคนิคที่ล้าสมัยซึ่งไม่แตกต่างจากวิธีการที่ Thomas Edison ใช้ในปี ค.ศ. 1878 วิทยุกระจายเสียงได้ก่อกำเนิดขึ้นมาในช่วงทศวรรษที่ 1920s และกลับกลายมาเป็นคู่แข่งสำคัญของเครื่องเล่นแผ่นเสียงในเวลาต่อมา เมื่อประกอบกับช่วงเศรษฐกิจตกต่ำที่ส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมแผ่นเสียง ธุรกิจแผ่นเสียงจึงล้มหายตายจากไปใน ค.ศ. 1933

ที่น่าแปลกก็คือ แม้ว่าวิทยุกระจายเสียงจะเป็นตัวทำให้ธุรกิจแผ่นเสียงมีอันเป็นไป แต่วิทยุกระจาย เสียงก็ช่วยชุบชีวิตใหม่ของธุรกิจแผ่นเสียงให้กลับคืนมาได้เช่นกัน เนื่องจากประชาชนมีความต้องการฟังรายการเพลงทางสื่อวิทยุกระจายเสียงกันมาก ประกอบกับเทคนิคการบันทึกเสียงได้มีการพัฒนาขึ้นกว่าเดิม

ส่วนภาพยนตร์นั้นมีวิวัฒนาการควบคู่มากับแผ่นเสียง ซึ่งบุคคลสำคัญเบิ้องหลังเทคโนโลยีทั้งสองประเภทก็คือ Thomas Edision นั่นเอง ภาพยนตร์ได้รับความนิยมในฐานะสื่อที่ให้ทั้งความรู้และความบันเทิง แต่ก็ยังถูกแซงโดยวิทยุกระจายเสียงซึ่งมีบทบาทเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีการแข่งขันในระบบต่างๆเพื่อให้ประชาชนยอมรับ จนในที่สุดสถานีวิทยุกระจายเสียงระดับชาติแห่งแรกก็ถูกตั้งขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยบริษัท RCA ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีตราบจนทุกวันนี้

วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553

นวัตกรรมวิธีการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการเรียนรู้ด้วยตัวเองและการเรียนเป็นกลุ่ม

นวัตกรรมวิธีการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการเรียนรู้ด้วยตัวเองและการเรียนเป็นกลุ่ม คลิก ที่นี่ เพื่อดาวน์โหลด