วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อินเตอร์เน็ต(internet)

นายพรสวัสดิ์ บัวใหญ่รักษา สาขาวิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

นิสิตชั้นปีที่ 3 รหัส 51010514518

อินเตอร์เน็ตฃ(internet)
อินเทอร์เน็ตคืออะไร
อินเทอร์เน็ต(Internet) คือ เครือข่ายนานาชาติ ที่เกิดจากเครือข่ายขนาดเล็กมากมาย รวมเป็นเครือข่ายเดียวทั้งโลก หรือเครือข่ายสื่อสาร ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ที่ต้องการเข้ามาในเครือข่าย สำหรับคำว่า internet หากแยกศัพท์จะได้มา 2 คำ คือ คำว่า Inter และคำว่า net ซึ่ง Inter หมายถึงระหว่าง หรือท่ามกลาง และคำว่า Net มาจากคำว่า Network หรือเครือข่าย เมื่อนำความหมายของทั้ง 2 คำมารวมกัน จึงแปลว่า การเชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่าย IP (Internet protocal) Address คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อกันใน internet ต้องมี IP ประจำเครื่อง ซึ่ง IP นี้มีผู้รับผิดชอบคือ IANA (Internet assigned number authority) ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางที่ควบคุมดูแล IPV4 ทั่วโลก เป็น Public addressที่ไม่ซ้ำกันเลยในโลกใบนี้ การดูแลจะแยกออกไปตามภูมิภาคต่าง ๆ สำหรับทวีปเอเชียคือ APNIC (Asia pacific network information center)แต่การขอ IP address ตรง ๆ จาก APNIC ดูจะไม่เหมาะนัก เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เชื่อมต่อด้วย Router ซึ่งทำหน้าที่บอกเส้นทาง ถ้าท่านมีเครือข่ายของตนเองที่ต้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ก็ควรขอ IP address จาก ISP (Internet Service Provider) เพื่อขอเชื่อมต่อเครือข่ายผ่าน ISP และผู้ให้บริการก็จะคิดค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่อตามความเร็วที่ท่านต้องการ เรียกว่า Bandwidth เช่น 2 Mbps แต่ถ้าท่านอยู่ตามบ้าน และใช้สายโทรศัพท์พื้นฐาน ก็จะได้ความเร็วในปัจจุบันไม่เกิน 56 Kbps ซึ่งเป็น speed ของ MODEM ในปัจจุบัน

IP address คือเลข 4 ชุด หรือ 4 Byte เช่น 203.158.197.2 หรือ 202.29.78.12 เป็นต้น แต่ถ้าเป็นสถาบันการศึกษาโดยทั่วไปจะได้ IP มา 1 Class C เพื่อแจกจ่ายให้กับ Host ในองค์กรได้ใช้ IP จริงได้ถึง 254 เครื่อง เช่น 203.159.197.0 ถึง 203.159.197.255 แต่ IP แรก และ IPสุดท้ายจะไม่ถูกนำมาใช้ จึงเหลือ IP ให้ใช้ได้จริงเพียง254หมายเลข
1 Class C หมายถึง Subnetmask เป็น 255.255.255.0 และแจก IP จริงในองค์กรได้สูงสุด 254
1 Class B หมายถึง Subnetmask เป็น 255.255.0.0 และแจก IP จริงในองค์กรได้สูงสุด 66,534
1 Class A หมายถึง Subnet mask เป็น 255.0.0.0 และแจก IP จริงในองค์กรได้สูงสุด 16,777,214

ประโยชน์ของอินเทอร์เน็ต

1 เป็นแหล่งข้อมูลที่ลึก และกว้าง เพราะข้อมูลถูกสร้างได้ง่าย แม้นักเรียน หรือผู้สูงอายุก็สร้างได้
2 เป็นแหล่งรับ หรือส่งข่าวสาร ได้หลายรูปแบบ เช่น mail, board, icq, irc, sms หรือ web เป็นต้น
3 เป็นแหล่งให้ความบันเทิง เช่น เกม ภาพยนตร์ ข่าว หรือห้องสะสมภาพ เป็นต้น
4 เป็นช่องทางสำหรับทำธุรกิจ สะดวกทั้งผู้ซื้อ และผู้ขาย เช่น e-commerce หรือบริการโอนเงิน เป็นต้น
5 ใช้แทน หรือเสริมสื่อที่ใช้ติดต่อสื่อสาร ในปัจจุบัน โดยเสียค่าใช้จ่าย และเวลาที่ลดลง
6 เป็นช่องทางสำหรับประชาสัมพันธ์สินค้า บริการ หรือองค์กร

ประวัติความเป็นมา

1 ประวัติในระดับนานาชาติ

- อินเทอร์เน็ต เป็นโครงการของ ARPAnet(Advanced Research Projects Agency Network) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สังกัด กระทรวงกลาโหม ของสหรัฐ (U.S.Department of Defense - DoD) ถูกก่อตั้งเมื่อประมาณ ปี พ.ศ.2503(ค.ศ.1960)
- พ.ศ.2512(ค.ศ.1969) ARPA ได้รับทุนสนันสนุน จากหลายฝ่าย ซึ่งหนึ่งในผู้สนับสนุนก็คือ Edward Kenedy และเปลี่ยนชื่อจาก ARPA เป็นDARPA(Defense Advanced Research Projects Agency) พร้อมเปลี่ยนแปลงนโยบายบางอย่าง และในปีพ.ศ.2512 นี้เองได้ทดลองการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์จาก 4 แห่งเข้าหากันเป็นครั้งแรก คือ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ลองแอนเจลิส สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ซานตาบาร์บารา และมหาวิทยาลัยยูทาห์ เครือข่ายทดลองประสบความสำเร็จอย่างมาก ดังนั้นในปีพ.ศ.2518(ค.ศ.1975) จึงเปลี่ยนจากเครือข่ายทดลอง เป็นเครือข่ายใช้งานจริง ซึ่ง DARPA ได้โอนหน้าที่รับผิดชอบให้แก่ หน่วยงานการสื่อสารของกองทัพสหรัฐ(Defense Communications Agency - ปัจจุบันคือ Defense Informations Systems Agency) แต่ในปัจจุบัน Internet มีคณะทำงานที่รับผิดชอบบริหารเครือข่ายโดยรวม เช่น ISOC (Internet Society) ดูแลวัตถุประสงค์หลัก IAB(Internet Architecture Board) พิจารณาอนุมัติมาตรฐานใหม่ใน Internet IETF(Internet Engineering Task Force) พัฒนามาตรฐานที่ใช้กับ Internet ซึ่งเป็นการทำงานโดยอาสาสมัคร ทั้งสิ้น
- พ.ศ.2526(ค.ศ.1983) DARPA ตัดสินใจนำ TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol) มาใช้กับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบ ทำให้เป็นมาตรฐานของวิธีการติดต่อ ในระบบเครือข่าย Internet จนกระทั่งปัจจุบัน จึงสังเกตได้ว่า ในเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่จะต่อ internet ได้จะต้องเพิ่ม TCP/IP ลงไปเสมอ เพราะ TCP/IP คือข้อกำหนดที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทั่วโลก ทุก platform และสื่อสารกันได้ถูกต้อง

- การกำหนดชื่อโดเมน(Domain Name System) มีขึ้นเมื่อ พ.ศ.2529(ค.ศ.1986) เพื่อสร้างฐานข้อมูลแบบกระจาย(Distribution database) อยู่ในแต่ละเครือข่าย และให้ ISP(Internet Service Provider) ช่วยจัดทำฐานข้อมูลของตนเอง จึงไม่จำเป็นต้องมีฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ เหมือนแต่ก่อน เช่น การเรียกเว็บ www.yonok.ac.th จะไปที่ตรวจสอบว่ามีชื่อนี้ หรือไม่ ที่ www.thnic.co.th ซึ่งมีฐานข้อมูลของเว็บที่ลงท้ายด้วย thทั้งหมด เป็นต้น
- DARPA ได้ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลระบบ internet เรื่อยมาจนถึง พ.ศ.2533(ค.ศ.1990) และให้ มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ(National Science Foundation - NSF) เข้ามาดูแลแทนร่วม กับอีกหลายหน่วยงาน
- ในความเป็นจริง ไม่มีใครเป็นเจ้าของ internet และไม่มีใครมีสิทธิขาดแต่เพียงผู้เดียว ในการกำหนดมาตรฐานใหม่ต่าง ๆ ผู้ตัดสินว่าสิ่งไหนดี มาตรฐานไหนจะได้รับการยอมรับ คือ ผู้ใช้ ที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก ที่ได้ทดลองใช้มาตรฐานเหล่านั้น และจะใช้ต่อไปหรือไม่เท่านั้น ส่วนมาตรฐานเดิมที่เป็นพื้นฐานของระบบ เช่น TCP/IP หรือ Domain name ก็จะต้องยึดตามนั้นต่อไป เพราะ Internet เป็นระบบกระจายฐานข้อมูล การจะเปลี่ยนแปลงระบบพื้นฐาน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

2 ประวัติความเป็นมาอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย
อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย เริ่มต้นเมื่อปีพ.ศ.2530(ค.ศ.1987) โดยการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ระหว่างมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(http://www.psu.ac.th)และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (http://www.ait.ac.th) ไปยังมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย(http://www.unimelb.edu.au) แต่ครั้งนั้นยังเป็นการเชื่อมต่อโดยผ่านสายโทรศัพท์ (Dial-up line) ซึ่งสามารถส่งข้อมูลได้ช้า และไม่เสถียร จนกระทั่ง ธันวาคม ปีพ.ศ.2535 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(NECTEC) ได้ทำการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย 6 แห่ง เข้าด้วยกัน (Chula, Thammasat, AIT, Prince of Songkla, Kasetsart and NECTEC) โดยเรียกเครือข่ายนี้ว่า ไทยสาร(http://www.thaisarn.net.th) และขยายออกไปในวงการศึกษา หรือไม่ก็การวิจัย การขยายตัวเป็นไปอย่างต่อเนื่องจนเดือนกันยายน ปี พ.ศ.2537 มีสถาบันการศึกษาเข้าร่วมถึง 27 สถาบัน และความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตของเอกชนมีมากขึ้น การสื่อสารแห่งประเทศไทย (http://www.cat.or.th) เปิดโอกาสให้ภาคเอกชน สามารถเป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP - Internet Service Provider) และเปิดให้บริการแก่บุคคลทั่วไป สามารถเชื่อมต่อ Internet ผ่านผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย

บริการบนอินเทอร์เน็ต
การใช้หลักการแบบไคแอนต์-เซิร์ฟเวอร์ทำให้อินเทอร์เน็ตมีการให้บริการต่างๆมากมายผู้ใช้บริการสามารถเรียกใช้บริการเหล่านี้จากระยะไกลได้ เครือข่ายอินเทอร์เน็ตจึงเป็นเครือข่ายที่ไม่ขึ้นกับระยะทาง แม้ว่าผู้ใช้บริการจะอยู่คนละซีกโลก ก็เหมือนอยู่ใกล้กัน และมีระบบการทำงานเป็นแบบโลกาภิวัฒน์ คือ สามารถติดต่อถึงกันได้ทั่วโลกการให้บริการอินเทอร์เน็ตที่ใช้กันมากในขณะนี้ประกอบด้วย

การบริการต่างๆ บนเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1. บริการด้านการรับส่งข่าวสารและแสดงความคิดเห็น
2. บริการด้านการติดต่อสื่อสาร
3. บริการการถ่ายโอนแฟ้มข้อมูล
4. บริการค้นหาข้อมูล
5. บริการข้อมูลมัลติมีเดีย


1. บริการด้านการรับส่งข่าวสารและแสดงความคิดเห็น
- ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail)
- Mailing List
- นิวส์กรุ๊ป (
Newsgroup) หรือยูสเน็ต (UseNet)
- การสนทนา (
Talk)
- ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail)
จดหมายอิเล็กทรอนิกส์หรือ อีเมล์ (E-Mail)
เรียกย่อว่า E-Mail (อีเมล์) คือการส่งจดหมายทางคอมพิวเตอร์โดยผู้ส่งจะต้องพิมพ์ข้อความ โดยอาจแนบรูปภาพ ไฟล์เสียง หรือไฟล์วิดีโอ ไปกับจดหมายก็ได้ จดหมายจะถูกส่งถึงปลายทางอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วินาที และเข้าไปรอในตู้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อผู้รับมาเปิดตู้จดหมายก็สามารถอ่านจดหมาย ดูเอกสารแนบ และพิมพ์ข้อความตอบจดหมายกลับมาได้สะดวกและรวดเร็ว ผู้รับและผู้ส่งไม่จำเป็นต้องออนไลน์ในขณะเดียวกัน
การรับ-ส่งข้อความ (รวมทั้งรูปภาพ เสียง วิดีโอ) ในลักษณะจดหมาย โดยใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นเส้นทางในการรับ – ส่ง
ใช้เวลาในการรับ/ส่งไม่นาน (หน่วยเป็นนาที)
การใช้ E-Mail จะต้องมี E-Mail Address เพื่อระบุปลายทางในการรับ-ส่ง ลักษณะเดียวกับชื่อ-ที่อยู่ในการส่งจดหมายปกติ การส่งอีเมล์สามารถสำเนาจดหมายส่งให้หลาย ๆ คนพร้อมกันได้ (CC) ทำสำเนาลับได้ (Bcc) สามารถแนบเอกสารต่าง ๆ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของแฟ้มข้อมูล รูปภาพ วิดีโอ ฯลฯ ไปด้วยได้ (Attachments) ซึ่งก็จะทำให้ผู้รับสามารถรับเอกสารทั้งหมดแล้วทำการตอบจดหมาย (Reply) จดหมายต่อ (Forward) หรือลบทิ้งได้(Delete)




จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail)
การติดต่อสื่อสารโดยใช้อีเมลสามารถทำได้โดยสะดวก และประหยัดเวลาหลักการทำงานของอีเมลก็คล้ายกับการส่งจดหมายธรรมดา นั้นคือ จะต้องมีที่อยู่ที่ระบุชัดเจน ก็คือ อีเมลแอดเดรส
(E-mail address) องค์ประกอบของ e-mail address ประกอบด้วย
1. ชื่อผู้ใช้ (User name)
2. ชื่อโดเมน Username@domain_name
การใช้งานอีเมล สามารถแบ่งได้ดังนี้ คือ
1. Corporate e-mail คือ อีเมล ที่หน่วยงานต่างๆสร้างขึ้นให้กับพนักงานหรือบุคลากรในองค์กรนั้น เช่น jatuporn@pibul.ac.th คือ e-mail
ของครูโรงเรียนพิบูลวิทยาลัยเป็นต้น
2. Free e-mail คือ อีเมล ที่สามารถสมัครได้ฟรีตาม web mail ต่างๆ เช่น Hotmail, Yahoo Mail, Thai Mail, Chaiyo Mail และ Gmail (ของ Google)

อีเมล์แอดเดรส (E-mail Address)

1. ชื่อบัญชีสมาชิกของผู้ใช้เรียกว่า user name อาจใช้ชื่อจริง ชื่อเล่น หรือชื่อองค์กรก็ได้

2. ส่วนนี้คือเครื่องหมาย @ (at sign) อ่านว่า "แอท"

3. ส่วนที่สามคือ โดเมนเนม (Domain Name) เป็นที่อยู่ของอินเทอร์เน็ตเซิร์ฟเวอร์ ที่เราสมัครเป็นสมาชิกอยู่ เพื่ออ้างถึงเมล์เซิร์ฟเวอร์

4. ส่วนสุดท้ายเป็นรหัสบอกประเภทขององค์กรและประเทศ ในที่นี้คือ .co.th โดยที่ .co หมายถึงcommercial เป็นบริการเกี่ยวกับการค้า ส่วน .th หมายถึง Thailandอยู่ในประเทศไทย





องค์ประกอบของอีเมล์
- กล่องจดหมายขาเข้า (
Inbox) เป็นพื้นที่ในการเก็บจดหมายที่บุคคลอื่นส่งมาหาเรา
- กล่องจดหมายออก (
Outbox) เป็นพื้นที่สำหรับเก็บสำเนาของจดหมายที่เราส่งไปถึงผู้อื่น
- กล่องจดหมายขยะ (
Junk mail หรือ Spam) เป็นพื้นที่สำหรับจัดเก็บจดหมายที่ผู้ส่ง
โฆษณาหรือผู้ที่เราไม่รู้จักส่งมาให้
- กล่องจดหมายร่าง (
Draft) สำหรับเก็บจดหมายที่ยังเขียนไม่เสร็จ
- ถังขยะ (
Trash) เป็นที่เก็บจดหมายที่ถูกลบทิ้งแล้ว

ข้อควรระวังในการใช้อีเมล์
- เว็บไซต์ลามกเป้แหล่งเผยแพร่ไวรัสคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุด เราจึงไม่ควรไปเขียนอีเมล์ทิ้ง ไว้ในเว็บไซตทลามกและเว็บไซต์อื่น ๆ โดยไม่จำเป็น เพราะอาจทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ติดไวรัีสดดยตรง หรือแอบแฝงมาทางอีเมล์ที่ส่งมาให้
-
อีเมล์จากคนที่ไม่รู้จัก อีเมล์โฆษณาชวนเชื่อต่าง ๆ เช่น ชวนหารายได้พิเศษ ขายผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก ขายยาไวอากร้า ฯลฯ เรียกว่า
Spam หรือ Junk Mail นอกจากก่อความรำคาญแล้ว ยังอาจมีไวรัสติดมาด้วยได้ หลีกเลี่ยงการอ่านเมล์ขยะ และการเปิดไฟล์แนบ
- ไม่ควรเปิดอีเมล์จากบุคคลที่ไม่รู้จัก เพราะอาจทำให้เครื่องติดไวรัสคอมพิวเตอร์ได้
- ไม่ควรโต้ตอบอีเมล์กับคนแปลกหน้า เพราะอาจถูกหลอกถามข้อมูลส่วนตัว หรือถูกสอดแนมโดยโปรแกรมนักสืบที่แอบแฝงมาด้วย
- ไม่ควรเขียนข้อมูลส่วนตัว ความลับ หรือส่งรูปภาพส่วนตัวไปทางอีเมล์

- นิวส์กรุ๊ป (Newsgroup) หรือยูสเน็ต (UseNet)
Use Net การแลกเปลี่ยนข่าวสารและความคิดเห็น UseNet ย่อมาจาก User Network เป็นการแบ่งข่าวสารเป็นกลุ่มย่อย ๆ เก็บไว้ใน News Server ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ในอินเตอร์เน็ต ที่ทำหน้าที่เก็บข่าวสารต่าง ๆที่ผู้ใช้ส่งมาเรียกกลุ่มข่าวสารนี้ว่า News Group และเรียกข่าวที่ส่งมาว่า Article
นิวส์กรุ๊ป (
Newsgroup) หรือยูสเน็ต (UseNet)เป็นบริการที่ช่วยให้ท่านเข้าสู่ข่าวสารข้อมูลของกลุ่มสนทนาแลกเปลี่ยนปัญหาข้อสงสัยข่าวสารต่าง ๆ กลุ่มเหล่านี้จะมีสารพัดกลุ่มตามความสนใจ โปรแกรมที่ช่วยให้ท่านใช้บริการนี้ คือ โปรแกรม Netscape News ที่อยู่ใน โปรแกรมNetscape Navigator Gold 3.0 เมื่อเปิดโปรแกรมดังกล่าว จากนั้นรายชื่อของกลุ่มสนทนาจะปรากฏขึ้นให้ท่านเลือกอ่านตามใจชอบ
ตัวอย่างกลุ่มข่าว

alt (Alternative) หัวข้อทั่ว ๆไป biz(Business)หัวข้อธุรกิจ com(Computer)หัวข้อด้านคอมพิวเตอร์ k12หัวข้อเกี่ยวกับการศึกษา

- การสนทนา (Talk)
IRC การสื่อสารด้วยข้อความ IRC ย่อมาจาก Internet Relay Chat
เป็นการให้บริการสนทนาระหว่างผู้ใช้คอมพิวเตอร์โดยอาศัยการพิมพ์ข้อความทางแป้นพิมพ์ แทนการพูดด้วยคำพูด ทำให้คนทั่วโลกสามารถสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น
โปรแกรมที่นิยมมากคือ ICQ, PIRCH, NetMeeting, I-Phone,MSN
สนทนาแบบออนไลน์ (
Chat)
ผู้ใช้บริการสามารถคุยโต้ตอบกับผู้ใช้คนอื่นๆ ในอินเตอร์เน็ตได้ในเวลาเดียวกัน (โดยการพิมพ์เข้าไปทางคีย์บอร์ด) เสมือนกับการคุยกันแต่ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ของทั้งสองที่ ซึ่งก็สนุกและรวดเร็วดี บริการสนทนาแบบออนไลน์นี้เรียกว่า Talk เนื่องจากใช้โปรแกรมที่ชื่อว่า Talk ติดต่อกัน หรือจะคุยกันเป็นกลุ่มหลายๆ คนในลักษณะของการ Chat (ชื่อเต็มๆ ว่า Internet Relay Chat หรือ IRC ก็ได้) ซึ่งในปัจจุบันก็ได้พัฒนาไปถึงขั้นที่สามารถใช้ภาพสามมิติ ภาพเคลื่อนไหวหรือการ์ตูนต่างๆ แทนตัวคนที่สนทนากันได้แล้ว และยังสามารถคุยกันด้วยเสียงในแบบเดียวกับ โทรศัพท์ ตลอดจนแลกเปลี่ยนข้อมูลบนจอภาพหรือในเครื่องของผู้สนทนาแต่ละฝ่ายได้อีกด้วยโดย การทำงาน แบบนี้ก็จะอาศัยโปรโตคอลช่วยในการติดต่ออีกโปรโตคอลหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า IRC (Internet Relay Chat) ซึ่งก็เป็นโปรโตคอลอีกชนิดหนึ่งบนเครือข่ายอินเทอเน็ตที่สามารถทำให้ User หลายคนเข้ามาคุยพร้อมกันได้ผ่านตัวหนังสือแบบ Real time โดยจะมีหลักการคือมีเครื่อง Server ซึ่งจะเรียกว่าเป็น IRC server ก็ได้ซึ่ง server นี้ก็จะหมายถึงฮาร์ดแวร์+ซอฟแวร์โดยที่ฮาร์ดแวร์คือ คอมพิวเตอร์ที่จำเป็นจะต้องมีทรัพยากรระบบค่อนข้างสูงและจะต้องมีมากกว่า 1 เครื่องเพื่อรองรับ User หลายคนเครื่องของเราจะทำหน้าที่เป็นเครื่อง Client ซึ่งก็คือคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ตได้แบบธรรมดา โดยที่ไม่ต้องการทรัพยากรมากนัก และก็ต้องมีโปรแกรมสำหรับเชื่อมต่อเข้า Irc server ได้
การสนทนาผ่านเครือข่ายออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันมีหลายโปรแกรมเช่น โปรแกรม Pirch, ICQ, Windows Messenger (MSN), Yahoo Messenger

2. บริการด้านการติดต่อสื่อสาร

- การขอเข้าใช้ระบบจากระยะไกล(Telnet)
- The Internet Telephone และ The Videophone

Telnet การขอเข้าระบบจากระยะไกล

เป็นการให้บริการทางไกล (
Remote) คือทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราเป็นเครื่องลูกข่าย(Client) ของคอมพิวเตอร์หลัก(Host) ทำให้สามารถใช้งานโปรแกรมและข้อมูลบนเครื่องคอมพิวเตอร์หลักได้ เช่นเราทำงานที่โรงเรียน เมื่อกลับไปบ้านก็เรียกข้อมูลจากเครื่องที่โรงเรียนมาทำที่บ้านได้เหมือนกับทำอยู่ที่รร.
Telnet เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ห่างไกลกันคล้ายกับการโทรศัพท์เข้าไปที่เครื่อง โดยซอฟท์แวร์ที่ใช้ต้องเป็น Client ของ Telnet
The Internet Telephone และ The Videophone
เพื่อประชุมทางไกล หรือใช้ในการเรียนการสอนทางไกล

3. บริการการถ่ายโอนแฟ้มข้อมูล
- การอัปโหลด (Upload)
- การดาวน์โหลด (
Download)
บริการการถ่ายโอนแฟ้มข้อมูล FTP การถ่ายโอนข้อมูล
FTP ย่อมาจาก File Transfer Protocalเป็นบริการส่งถ่ายแฟ้มข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ผ่านทางอินเตอร์เน็ต ผู้ใช้สามารถ Copy หรือ Download โปรแกรมจากผู้ให้บริการ ซึ่งเรียกว่า FTP Server มายังเครื่องของผู้ใช้ได้ ถ้านำไฟล์จากเครื่องผู้ใช้ขึ้นไปยัง Server เรียก Uploadการนำไฟล์จาก Server มายังเครื่องของผู้ใช้เรียก Download

4. บริการค้นหาข้อมูล
- อาร์คี (Archie)
- โกเฟอร์ (Gopher)
- Veronica
- เวส (Wide Area Information Server-WAIS)
- SearchEngine

Archie
อาร์คี
ผู้ใช้บริการจะทำตัวเสมือนเครื่องลูกข่ายที่เรียกเข้าไปใช้บริการของ Archie Server ซึ่งจะเสมือนกับได้ดูว่าสถานที่ซึ่งมีข้อมูลที่ตนต้องการอยู่ที่ใดก่อน จากนั้นจึงเรียกค้นไปยังสถานที่นั้นโดยตรงต่อไปGopherโกเฟอร์
เป็นบริการค้นหาข้อมูลแบบตามลำดับชั้น ซึ่งมีเมนูให้ใช้งานได้สะดวก โปรแกรม Gopher นี้ได้รับการพัฒนาขึ้นท ี่มหาวิทยาลัยมิเนโซตา านข้อมูลที่เก็บอยู่ในระบบเป็นฐานข้อมูลที่กระจายกันอยู่หลายแห่งแต่มีการเชื่อมโยงถึงกันเป็นขั้น
Hytelnet
เป็นบริการที่ช่วยให้ผู้ใช้หาชื่อโฮสต์และชื่อ Login พร้อมคำอธิบายโดยย่อของแหล่งข้อมูลที่ต้องการได้ด้วยการใช้งาน แบบเมนู เมื่อได้ชื่อโฮสต์ที่ต้องการแล้วก็สามารถเรียกติดต่อไปได้ทันที แหล่งข้อมูลส่วนใหญ่ของบริการ Hytelnet นี้มักจะเป็นชื่อที่อยู่ของห้องสมุดต่างๆ ทั่วโลก
เวส
WAIS (Wide Area Information Service)
เป็นบริการที่มีลักษณะเป็นศูนย์ข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลและดัชนีสำหรับค้นหาข้อมูลจำนวนมากเอาไว้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ในการค้นหาเมื่อเข้าสู่ศูนย์ข้อมูลนั้น และยังมีการเชื่อมโยงกันไปยังศูนย์ข้อมูลอื่นอีกปัจจุบันมีศูนย์ข้อมูลแบบ WAIS ให้ค้นหาได้หลายที่

5. บริการข้อมูลมัลติมีเดีย
บริการข้อมูลมัลติมีเดีย
WWW การสืบค้นข้อมูล
WWW ย่อมาจาก World Wide Web เป็นแหล่งเก็บข้อมูลในลักษณะข้อความ ภาพ และเสียง ซึ่งมีรูปแบบการนำเสนอที่เรียกว่า Web page โดย ข้อมูลในแต่ละส่วนสามารถเชื่อมโยง (Link) ไปยังแหล่งข้อมูลส่วนอื่นได้ เปรียบเสมือนใยแมงมุม(WEB)
- Web page
คือการนำเสนอข้อมูลต่างๆ มากมายในลักษณะหน้ากระดาษอิเล็กทรอนิกส์
- Home page
คือหน้าแรกของ Web page
- Web Site
คือการเว็บเพจมารวมกันในแหล่งเดียวกัน
- Web Browser
และการแสดงผลข้อมูล
Web Site เว็บไซต์ คือเครื่องคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานหรือองค์กรใด ๆ ที่เชื่อมต่ออยู่กับเครือข่ายอินเตอร์เน็ต และสามารถให้บริการ ที่เรียกว่า WWW (World Wide Web) แก่คอมพิวเตอร์ทั่วไป การเรียกบริการต้องระบุที่อยู่ของเว็บไซต์นั้น ๆ ซึ่งเรียกว่า URL
URL
: Uniform Resource Locator เช่น http://www.hotmail.com เป็นต้น

อ้างอิง
http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/tech04/16/2/internet/i03.htm#buttom
http://guru.sanook.com/search/knowledge_search.php?q=%BA%C3%D4%A1%D2%C3%BA%B9%CD%D4%B9%E0%B7%CD%C3%EC%E0%B9%E7%B5&select=1
http://www.samui-finder.com/th/help/internet-basics/internet/
http://www.jobpub.com/articles/showarticle.asp?id=2447
http://www.thaiall.com/article/internet.htm#hist